เด็ก ม.ปลาย ถูกกดดันเรื่องเรียน ข้อความสุดท้ายก่อนจบชีวิต “ชาติหน้าอย่าเป็นแม่ผมอีกเลย”
สภาพแวดล้อมในครอบครัว โดยเฉพาะวิธีการเลี้ยงดูและปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่กับลูก มีผลอย่างมากต่อการหล่อหลอมบุคลิกภาพและกำหนดทิศทางอนาคตของเด็ก ความรัก กำลังใจ และการสนับสนุนจากพ่อแม่ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างค่านิยมและแรงบันดาลใจในชีวิต ในทางตรงกันข้าม ความเพิกเฉย การบังคับ หรือบาดแผลทางจิตใจที่เกิดขึ้นในครอบครัวสามารถส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจและพัฒนาการของเด็กได้ ที่เมืองหลานโจว ประเทศจีน เคยเกิดเรื่องเศร้าขึ้นกับเด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อ เว่ย เทียนฮว่า เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ควรจะได้ใช้ชีวิตวัยเยาว์และไล่ตามความฝัน แต่กลับเลือกจบชีวิตตัวเองด้วยความเจ็บปวด วัยเด็กในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เว่ย เทียนฮว่า เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ได้รับความรักและการดูแลจากพ่อแม่เป็นพิเศษ แม่ของเขา ถัง หยิ่งฉี พบกับสามีผ่านการจับคู่ของญาติ ในช่วงแรกทั้งคู่รักกันดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความกดดันในชีวิตทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ พ่อแม่ของเขาทะเลาะกันเป็นประจำ บางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือ และทั้งหมดนี้ เทียนฮว่า ต้องเห็นด้วยตาตัวเอง บรรยากาศครอบครัวที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายสร้างบาดแผลในใจของเขาอย่างที่ไม่มีอะไรมาเติมเต็มได้ สุดท้าย หลังจากการทะเลาะกันมายาวนาน พ่อแม่ของเว่ย เทียนฮว่า ก็ตัดสินใจหย่าร้าง ในปีนั้นเขากำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต พ่อแม่ให้เขาเลือกว่าจะอยู่กับใคร ญาติบางคนแนะนำให้เขาอยู่กับพ่อ บางคนก็แนะนำให้อยู่กับแม่ แต่เมื่อต้องพิจารณาถึงความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เทียนฮว่า ตัดสินใจอยู่กับแม่ การตัดสินใจนี้ทำให้แม่ของเขาดีใจอย่างมาก บางครั้งเธอถึงกับพูดอวดเพื่อนๆ ว่า "มีแต่ฉันเท่านั้นที่เลี้ยงลูกได้" เทียนฮว่าไม่เคยใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น เพราะสิ่งเดียวที่เขากังวลคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขามุ่งมั่นเรียนหนักขึ้นทุกวัน จนแม้แต่ครูก็อดสงสารไม่ได้ ระหว่างนั้น เทียนฮ่า ขออนุญาตแม่ไปพบพ่อบ้าง แต่แม่ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า "มันจะรบกวนการเรียนของลูก" ความคาดหวังของแม่ กลายเป็นภาระกดดัน ทุกวัน เทียนฮว่า ใช้ชีวิตอยู่กับความเครียด เขามุ่งมั่นเรียนหนังสือ...
คดีสะเทือนขวัญ! แม่ปล่อยลูก ๆ 3 คนไว้ที่บ้าน ออกไปทำธุระ กลับมาอีกทีใจสลาย เจอร่างเสียชีวิตอยู่ในตู้แช่แข็ง (ข่าวตปท.)
เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวต่างประเทศ SaharaReporters และ BBC รายงานเหตุการณ์สุดสลด ที่เกิดขึ้นในประเทศไนจีเรีย เมื่อแม่รายหนึ่งทิ้งลูก ๆ 3 คนไว้ที่บ้าน และเดินทางไปโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปราว 70 กิโลเมตรเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เมื่อกลับมาบ้านอีกครั้ง กลับพบภาพใจสลาย เมื่อลูกชายวัย 5 ขวบ กับลูกสาววัย 7 และ 9 ขวบ ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม และซ่อนศพไว้ในตู้แช่แข็ง ตามการรายงานเผยว่า นางชิกาโซ มีอาชีพเป็นครูและนางพยาบาล เธอออกจากบ้านไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพื่อเข้าร่วมการสอบ แต่เมื่อกลับมาบ้านก็ต้องประหลาดใจที่ไม่เห็นลูก ๆ ออกมาต้อนรับเหมือนอย่างเคย แถมบ้านยังถูกเปิดทิ้งไว้อีกด้วย เพราะตามปกติเด็ก ๆ มักจะล็อกประตูเสมอตอนออกไปนอกบ้าน ตอนแรกเธอก็นึกว่าเด็ก ๆ คงออกไปเล่นนอกบ้านกันเท่านั้น แต่รอจนถึงเย็นแล้วเด็ก ๆ ก็ยังไม่กลับมา จากนั้น เธอถึงไปถามหาเด็ก ๆ จากเพื่อนบ้าน ตอนนั้นเองที่เพื่อนบ้านเล่าว่า มีคนแปลกหน้า 2 คนบุกเข้ามาที่บ้านของเธอ และก็เห็นลูกของเธอกลับมาที่บ้านแล้วหลังออกไปซื้อของ ได้ยินแบบนั้น ผู้เป็นแม่จึงรีบกลับไปตามหาลูกที่บ้านทันที กระทั่งพบภาพที่ทำให้ใจของแม่ทุกคนต้องแหลกสลาย ทางด้าน นายอีเจซี พ่อของเด็ก...
แก้ปัญหาแบบตัวแม่ ทำผมแดงอาจารย์ไม่ให้เข้าห้องสอบ ทำแบบนี้ได้เข้าแน่นอน
เพราะเรื่องกฎระเบียบนั้นเรียกว่าเป็นเหมือนข้อตกลงและฝึกการมีวินัยให้กับนักศึกษา ซึ่งมีหลายมหาวิทยาลัยก็มีก็ที่ว่า ช่วงที่มีกิจกรรมสำคัญของมหาวิทยาลัย อย่างเช่นการสอบนั้น ทางมหาวิทยาลัยจะมีกฎว่าห้ามทำสีผม เรื่องราวในครั้งนี้ถูกแชร์โดยผู้ใช้งาน TikTok บัญชี ppurinsu โดยเธอได้แชร์คลิปในช่วงที่สอบของมหาวิทยาลัยแต่เธอทำผมสีแดงอยู่ในช่วงนั้น เลยต้องหาวิธีการจัดการแบบเฉพาะหน้า โดยในคลิปเธอได้บรรยายเพิ่มเติมว่า "ว้าวุ่นเลยสอบวันเดียว อาจารย์บรีฟมาขอเรียบร้อย ได้ค่ะ ปล.อย่าดราม่านะคะสงสารชีวิตนักเรียนอยากได้คะแนนคนนึง อุปกรณ์คลุมผมเรายืมของน้องที่คลุมผมให้ค่ะ หลังจากคลุมเสร็จ เราใส่ปลอกแขนมิดชิดครับ" ซึ่งจะเห็นได้ว่าเธอได้ใช้วิธีติดเน็ตผมต่อด้วยคลุมผมแบบชาวมุสลิมเพื่อเข้าห้องสอบ และเธอก็ยังให้เกียรติกการคลุมผมด้วยการแต่งตัวให้เรียบร้อยและมิดชิดอีกด้วย หลังจากที่คลิปของเธอได้ถูกแชร์ออกไปก็เรียกได้ว่ากลายเป็นไวรัลสุดปังที่มียอดเข้าชมมากกว่า 700,000 ครั้ง ยอดไลก์มากกว่า 50,400 ครั้ง รวมไปถึงยังมีคอมเมนต์ที่เข้ามาขำในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเธอกันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น "ย้ายเซิร์ฟชั่วคราว", "อาจารย์บอก อย่าให้เจอที่ร้านหมูกระทะนะ" รวมไปถึง "เราคิดว่า จะต้องใส่วิกแน่เลย แต่ผิดคาด" อาจารย์ไม่ให้เข้าห้องสอบ
ชายแค่เจ็บคอ ช็อกกลายเป็น “มะเร็ง” ระยะสุดท้าย โกรธจัดโยน “2 ต้นเหตุ” ในครัวทิ้ง!!!
ชายคิดว่าแค่ปวดคอเพราะพูดเยอะ ไปหาหมอถึงกับช็อก ตรวจเจอมะเร็งกระเพาะระยะสุดท้าย ต้นเหตุคืออาหาร 2 อย่างที่อยู่ในครัว ชายชื่อ "จาง" อายุ 63 ปี จากไต้หวัน มีอาการเจ็บคอ เจ้าตัวคาดว่าน่าจะมาจากการพูดเยอะตามอาชีพของเขา หรือจากอากาศที่เย็นลง แต่เมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้นจนทำให้เขากินอาหารลำบากและน้ำหนักลดมาก เขาจึงตัดสินใจไปหาหมอ ในตอนแรกเขาไปพบแพทย์ที่แผนกหูคอจมูก แต่แพทย์สงสัยและส่งต่อเขาไปที่แผนกทางเดินอาหาร หลังจากตรวจสอบจึงพบว่าอาการปวดคอที่เขาคิดว่าเป็นผลจากการพูดเยอะ แท้จริงกลายเป็นอาการของมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย ที่มีการแพร่กระจายไปหลายส่วนแล้ว เมื่อได้รับข่าวร้าย เขาตกใจมากจนไม่อยากเชื่อว่าการวินิจฉัยของแพทย์จะถูกต้อง จนกระทั่งได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดเขาถึงได้ยอมรับ และกลับบ้านโยน “เกลือและผักดอง” ทิ้งจากห้องครัวทันที เนื่องจากอาหารเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคร้ายที่กำลังเผชิญ แพทย์อธิบายว่า การกินเกลือและผักดองมากเกินไป เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยการรับประทานเกลือในปริมาณมาก จะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและอาจกลายเป็นมะเร็งได้นอกจากนี้ การรับประทานผักดองที่ยังไม่หมักอย่างเหมาะสม ก็ทำให้เกิดสารเคมีที่ก่อมะเร็งที่เรียกว่า "ไนโตรซามีน" ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรระวังอาการต่างๆ เช่น เจ็บท้องส่วนบน คลื่นไส้ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืด การถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ มีกลิ่นปากผิดปกติ หากพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบหมอเพื่อการตรวจสอบทันที
ม.กรุงเทพ ลงโทษเด็ดขาด พรีม สาดน้ำร้อน มีผลทันที
จากกรณีข่าวสะเทือนสังคม กับกรณี รุ่นพี่ LGBTQ+ สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง และข่มขู่พร้อมรีดเงินกว่า 50,000 บาท จนเกิดเหตุการณ์ผู้คนหลายร้อยคนไปปิดล้อมคอนโดเพื่อเรียกร้องให้กลุ่มผู้ก่อเหตุออกมาแสดงความรับผิดชอบและรับโทษที่ก่อไว้ และจี้ให้ทางมหาวิทยาลัยลงโทษขั้นเด็ดขาดกับพฤติกรรมโหดร้ายทั้งเสื่อมเสียชื่อเสียงมหาวิทยาลัยและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น มีเจ้าทุกข์จำนวนมาก โดยก่อนหน้านี้ทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ และย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินมาตรการเยียวยาเร่งด่วนแก่ผู้เสียหาย มหาวิทยาลัยกรุงเทพยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการทั้งหมดด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นธรรมภายในสถาบัน พร้อมทั้งยืนหยัดต่อต้านความรุนแรงในทุกรูปแบบ ด้านผู้ก่อเหตุถูกควบคุมตัวไปที่สภ.คลองหลวงตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาและถูกสอบปากคำเข้มตลอดทั้งวัน ล่าสุด วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพได้โพสต์ผ่านเพจ Bangkok University ถึงบทสรุปโทษของ พรีม สาดน้ำร้อนรุ่นน้อง ดังนี้ แถลงการณ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฉบับที่ 2 เรื่อง ผลการพิจารณาโทษทางวินัยนักศึกษา กรณีการทำร้ายร่างกาย ตามที่คณะกรรมการปกครองได้ประชุมพิจารณาบทลงโทษตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ว่าด้วยวินัยนักศึกษา โดยได้พิจารณาพยานหลักฐาน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าผู้ก่อเหตุที่กระทำการราดน้ำร้อนเข้าข่ายความผิดและเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ และเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย อาศัยอำนาจตามความในข้อบังคับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะกรรมการปกครองจึงพิจารณาโทษสูงสุดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น มีคำสั่งให้นักศึกษาผู้กระทำความผิดพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาและจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป อนึ่ง สำหรับผู้กระทำผิดรายอื่น คณะกรรมการปกครองของมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการพิจารณาโทษวินัยตามระเบียบและข้อบังคับฯ มหาวิทยาลัยขอยืนยันจุดยืนในการไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ และจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่ละเมิดกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นธรรม ด้านคดีความ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว นายพรีม อายุ 22 ปี และ นายโอชิ อายุ 19...
ด่วน นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง โดดตึก15ชั้น เสียชีวิต
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568เวลาประมาณ 09.30 น.ที่จังหวัดนครปฐมผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองนครปฐมได้รับแจ้งเหตุนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม กระโดดตึก 15 ชั้น ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ตึกอาคารเฉลิมพระเกียติอาคาร 15ชั้น จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบพร้อมรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์ พยาบาล กู้ชีพโรงพยาบาลนครปฐม เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม ที่เกิดเหตุด้านตึก 15 ชั้นมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมเจ้าหน้าที่พบร่างหญิงสาวสภาพตะแครงสวมกางเกงขายาวสีดำสวมเสื้อแขนยาวสีดำ สวมถุงเท้าแต่ไม่สวมรองเท้า ที่บริเวณศรีษะมีบาดแผลแตกขนาดใหญ่ห่างเล็กน้อยพบก้อนเนื้อกระเด็นออกมา ทางด้านเจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตด้วยการปั้มหัวใจแต่ไม่เป็นผมส่งผลให้นักศึกษาสาวเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ห่างมาเล็กน้อยพบโทรศัพท์มือถือสีน้ำเงินตกแตก จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องขึ้นตึก15ชั้นไปตรวจสอบที่ชั้น 15 พบหน้าต่างเปิด 1 ช่องด้านล่างพบรองเท้าผ้าใบสีขาว 1คู่ กระเป๋าสะพายสีขาว 1 ใบกระเป๋ใส่เงินและบัตร 1 ใบและบัตรประจำตัวนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมคณะออกแบบนิเทศศิลป์และบัตรประจำตัวประชาชนทราบชื่อนางสาวณัฐธภรณ์ ธิติโรจนพัฒน์ อายุ 21 ปี 157 ม.3 ต.ห้วยจรเข้ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ห้ามถ่ายภาพ จากการสอบถามทางนักศึกษายังไม่มีใครทราบถึงสาเหตุแรงจูงใจที่ทำให้น้องนักศึกษาคิดสั้นกระโดดตึกลงมาเสียชีวิตในครั้งนี้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการเพื่อนผู้เสียชีวิตอาจารย์มาสอบถามเพิ่มถึงสาเหตุการกระโดดตึกลงมาเสียชีวิตในครั้งนี้ต่อไป เหตุการณ์การนี้ ซ้ำจุดเดิม ที่เดิม เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ซ้ำรอย 6 ปีที่แล้ว จุดเดิม มุมเดิม ตึก15ชั้น เมื่อปี 2562...
ด่วน! ม.กรุงเทพ มีมติเอกฉันท์ให้ พีม มือสาดน้ำซุป พ้นสภาพนักศึกษา
วันที่ 10 ก.พ. 68 แถลงการณ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฉบับที่ 2 เรื่อง ผลการพิจารณาโทษทางวินัยนักศึกษา กรณีการทำร้ายร่างกาย ตามที่คณะกรรมการปกครองได้ประชุมพิจารณาบทลงโทษตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ว่าด้วยวินัยนักศึกษา โดยได้พิจารณาพยานหลักฐาน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าผู้ก่อเหตุที่กระทำการราดน้ำร้อนเข้าข่ายความผิดและเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ และเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย อาศัยอำนาจตามความในข้อบังคับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะกรรมการปกครองจึงพิจารณาโทษสูงสุดเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น มีคำสั่งให้นักศึกษาผู้กระทำความผิดพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาและจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป อนึ่ง สำหรับผู้กระทำผิดรายอื่น คณะกรรมการปกครองของมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการพิจารณาโทษวินัยตามระเบียบและข้อบังคับฯ มหาวิทยาลัยขอยืนยันจุดยืนในการไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ และจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่ละเมิดกฎระเบียบของมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นธรรม
ฝันสลาย เงินดิจิทัล เฟส 3 กลุ่มคนทั่วไป คลังยืนยันประกาศล่าสุด
จากกรณี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลต เฟส 3 ว่า ยืนยันคำเดิม ไตรมาส 2 ปี 2568 คือในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนนี้ได้เงินแน่นอน โดยภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลงรายละเอียดการเดินหน้าดิจิทัลวอลเลต เฟส 3 ล่าสุดทางด้าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้มีการออกมากล่าวถึงกรณี ความคืบหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 หรือ 10,000 บาท ว่า ในเฟส 3 ยืนยันแล้วว่าจะไม่มีการแจกเป็นเงินสด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบซึ่งมีความคืบหน้ามาแล้ว นายพิชัย กล่าวว่า ดิจิทัลวอลเล็ต ผมว่าสำคัญมากที่สุด มากกว่าการให้เงินสด ทั่วโลกเขาไปเรื่อง Digital Economy เดี๋ยวนี้ธุรกิจทุกอย่างไปทางดิจิทัลหมด ของที่อยู่รอบตัวเราไม่มีอะไรที่ไม่เป็นดิจิทัล และมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นแปลว่าเราจะต้องทำให้คนในประเทศ มีความคุ้นเคยกับกลไกของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยดิจิทัลให้มากที่สุด มิฉะนั้น เราจะไม่ทันชาวโลก นอกจากนี้ ยังมีการทดสอบระบบอยู่เรื่อย ๆ ทั้งการตั้งค่าแอปพลิเคชัน ระบบการจ่าย รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ทางเราจึงค่อยเป็นค่อยไปกับการทดสอบระบบ เนื่องจากตัวมันไม่สามารถเสร็จภายในวันเดียวได้...
ด่วน! รถบรรทุก ชน รถโดยสารคว่ำ บาดเจ็บระนาว
เวลา 10:08 น. วันที่ 10 ก.พ. 68 สมาคมกู้ภัยลำปาง ศูนย์ประสานงานอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญูญูจังหวัดลำปาง รายงานอุบัติเหตุรถบรรทุกพ่วงชนกับรถโดยสาร ถ.ลำปาง-เกาะคา ช่องทางเข้าเมืองลำปางใกล้อนุสาวรีย์พระนเรศวร อ.เกาะคา จ.ลำปาง ยานพาหนะกีดขวางช่องทางซ้ายสุด ที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้น บาดเจ็บ 9 ราย ที่มา สมาคมสื่อสารมวลชน ข่าว วิทยุและโทรทัศน์
เงินดิจิทัลเฟส 3 แจก 10,000 บาท ใช้สิทธิ์ครั้งแรกได้ที่ไหน
เงินดิจิทัลเฟส 3 คลังเตือนคนที่ได้รับสิทธิ์ 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต ต้องใช้จ่ายในพื้นที่จำกัดเท่านั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า เงินดิจิทัลเฟส 3 จะเป็นการแจกเงินผ่านกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ ไม่สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ แตกต่างจากเงินดิจิทัลเฟส 1 และเฟส 2 ซึ่งเงินดิจิทัลเฟส 3 จะกำหนดเงื่อนไขใช้จ่ายได้กับร้านที่มีการลงทะเบียนไว้กับกระทรวงการคลัง และการใช้จ่ายเงินดิจิทัลเฟส 3 รอบแรกจะต้องอยู่ภายในเขตอำเภอตามบัตรประชาชนของแต่ละคนเท่านั้น คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัลเฟส 3 มีสัญชาติไทย อายุ 16-60 ปี รายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี (สำหรับปีภาษี 2566) มีเงินฝากรวมไม่เกิน 500,000 บาท (ณ 31 มีนาคม 2567) ไม่เป็นผู้ต้องโทษจำคุก ไม่เคยถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่นๆ ของรัฐ ผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัลเฟส 3 ต้องเตรียมตัวรับเงินผ่านแอปฯ ทางรัฐ ติดตั้งแอปพลิเคชันทางรัฐ เตรียมบัตรประชาชน ภาพถ่ายปัจจุบัน (พื้นหลังสีขาว) เบอร์โทรศัพท์และอีเมลที่ใช้งานได้ เตรียมพื้นที่มือถืออย่างน้อย 100 MB การใช้จ่ายเงินดิจิทัลเฟส 3 ยืนยันใช้ผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น ระบบอยู่ระหว่างการทดสอบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เงินดิจิทัลเฟส 3 คลังจ่อปรับเงื่อนไขแจก 10,000 บาท เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ เงินดิจิทัลเฟส 3 ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นายกฯ อิ๊งค์พูดแล้วแจกเมื่อไหร่? เงินดิจิทัลเฟส 3 ประกาศไทม์ไลน์แจกเงิน 10,000 บาท...