หลังจากที่ได้ร่วมงานกันมานาน เล่นละครมาด้วยกันก็หลายเรื่องจนทำให้พระเอกหนุ่ม ชาคริต แย้มนาม สนิทสนมกับ อาหนิง นิรุตติ์ เป็นอย่างมาก ให้ความเคารพรัก ความนับถือเปรียบเสมือนพ่ออีกคนมานานกว่า20ปีแล้ว
ล่าสุด อาหนิง นิรุตติ์ ได้เปิดเผยจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์พ่อลูก “ชาคริต” ในรายการ คุยแซ่บSHOW ว่า ผมเรียกเขาว่าลูก เขาก็เลยเรียกเรากลับว่า ‘พ่อ’ แม้เขาจะใช่ลูกแท้ๆ แต่เรารักและผูกพันกันมานาน ผมรู้สึกถูกชะตาเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้ร่วมงานกัน รู้สึกว่าเขามีสัมมาคาระวะ ส่วนชีวิตหลังกล้องเราก็มักจะไปทำบุญ ไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ
แต่ตอนนี้เขาแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวแล้วก็ไม่ได้เจอกันบ่อยเหมือนเคย ซึ่งเราก็เข้าใจในจุดนี้ เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น แต่เราก็ไลน์คุย ติดต่อกันตลอด ซึ่งเป็นเวลาร่วมปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน ก็อยากจะบอกว่า ‘พักบ้าง…รู้ว่าต้องทำงานแต่ก็หาเวลาพักบ้าง’
หลายคนในวงการบันเทิงยึดเป็นบุคคลต้นแบบการใช้ชีวิต สำหรับ “หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา” นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือที่สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนต่อหลายคน นอกจากพาร์ตหน้าจอการแสดงแล้ว ชีวิตอีกด้านของ หนิง นิรุตติ์ คือเป็นเกษตรออร์แกนิกเจ้าของ “สวนทองจันทร์”
ล่าสุด หนิง นิรุตติ์ ออกมาเล่าประสบการณ์ตลอด 76 ปีที่ผ่านมาในชีวิต ในรายการโต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกรตัวแม่ “หนูแหม่ม สุริวิภา” พร้อมเผยเป้าหมายในชีวิตต่อจากนี้
ตอนนี้ผันตัวไปทำสวนทำไร่แล้ว? “ตอนนี้ดูแลทั้งหมด 229 ไร่ ซึ่งทำเป็นป่าหมดเลย พอเราเริ่มปลูกป่า ผลไม้ที่มีอยู่ก็เหี่ยวเฉาตายไปเพราะเจอแดด ที่พอได้อยู่ก็มังคุด แต่ว่าทุเรียนก็เสียหายไปบ้าง แต่ก็ยังเหลืออยู่เพราะไม่ได้เป็นทุเรียนป่า แบบโบราณ ของเราเป็นทุเรียนสายพันธุ์ หมอนทอง ชะนี ก้านยาว”
เราปลูกเองหรอ? “จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดว่าอายุ 70 แล้วต้องไปเกษียณที่นั่น ส่วนใหญ่ตัวเราเองจะอยู่ที่จันทบุรีเป็นหลัก เพราะตอนนี้อายุมากขึ้นงานก็น้อยลง เราเริ่มอยู่ตั้งแต่อายุ 25 เพราะว่าไปซื้อที่ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพื้นที่ป่าดงดิบ ตอนที่ซื้อที่ยังเป็นพื้นที่เขาหัวโล้นอยู่เลย ซึ่งก็จะมีรอยป่าเดิมๆ อยู่บ้าง และการที่เราจะปลูกป่า เราต้องห้ามไปยุ่งกับมัน ปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเขาเองจัดการของเขาเอง
ซึ่งเมื่อก่อนเป็นพื้นที่โล่งเตียน เพราะเราต้องป้องกันไฟป่า นอกเหนือจากนั้นก็จะมีพวกชาวสวนอยู่ ซึ่งมันก็จะดูร่มรื่น ไฟป่าก็ลดน้อยลง เมื่อก่อนสองทุ่มทานข้าวเสร็จก็ไปนอน และเราก็เริ่มปลูกต้นไม้เล็กๆ เช่นทุเรียน ลองกอง ลำไย ซึ่งที่ตรงนั้นปลูกอะไรก็ขึ้น ปลูกได้หมดทุกอย่าง”
ทำแล้วรวย? “เราก็รวยจากอโวคาโด้ ให้คนงานขับรถกระบะแล้วก็ไปส่ง ตั้งแต่ตลาดผลไม้ที่เนินสูง ซึ่งก็ให้ชาวสวนเขารวยไปเถอะ เพราะการที่จะรวยได้ต้องทำงานหนักมาก แต่ตอนนี้ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ทุเรียนตัดที่สวนลูกนึงต่อกิโล 170 บาท เราก็งงว่าทำไมได้เยอะขนาดนั้นเพราะเราไม่ได้มองถึงเรื่องธุรกิจ”
ทำไมต้องไปอยู่ที่จันทบุรี? “การทำงานการแสดงของเราได้ไปเกือบทุกจังหวัด และความรู้สึกส่วนตัวผมอยู่กับบ้านนอกมาตั้งแต่เกิด เพราะมันไม่ได้มีความเจริญอยู่ในประเทศไทยเท่าไหร่ ซึ่งผมไม่เคยคิดไปถึงเกษียณอายุ แต่ว่าเกษียณอายุเราทำควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่เราทำไปเพราะเกษียณแล้วต้องทำอยู่
ปัจจุบันนี้ผมก็ยังไม่เกษียณอายุ เราก็ยังทำงานอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพราะเรามีค่าใช้จ่ายเยอะไม่ว่าจะเป็นคนงาน หรือค่าใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งเราก็สังเกตคนจันทบุรีว่าเป็นคนยังไง พวกเขาเป็นคนพูดจาโผงผางแต่จิตใจดี เพราะทุกคนเป็นเจ้าของสวน แล้วก็จะมีเหมืองแร่ มีบ่อพลอย มีน้ำตกครบ แล้วมันก็อยู่ใกล้บ้านเรา”
ตอนนี้ละครมีกี่เรื่อง? “ตอนนี้ถ่ายอยู่ 1 เรื่อง แล้วก็รอเปิดอีก 2 เรื่อง เป็นซีรีส์ 25 ตอน 1 เรื่อง อีกเรื่องนึงก็ละครธรรมดา ซึ่งละครเรามีอยู่ตลอดเลย วิธีการก็คือเมื่อไหร่ที่มีงานก็เข้ามาในกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ที่ไม่มีงานก็กลับไปที่จันทบุรี แล้วก็ยังรับงานวิทยากรพูดเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ว่าเราต้องเตรียมตัวยังไงไม่ใช่ว่าเราต้องมาเตรียมตัวตอนเกษียณแล้ว และการดำรงชีวิตของเราว่าเราทำอะไรบ้าง เราก็ต้องทำตัวเป็นหมอให้กับตัวเองก่อนที่จะไปหาหมอ ไม่งั้นเราไม่สามารถบอกหมอได้ว่าเราเป็นอะไร”
ตั้งเป้าหมายกับชีวิตยังไง? “ผมคิดว่านอนหลับไปแล้วก็ตื่นมา ซึ่งถ้าหลับไปแล้วไม่ตื่นมามันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ส่วน 50 ไร่เราก็ให้คนงานดูแลเขา ผมเกิดมาเพื่อมาดูแลเท่านั้น ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของตลอดเวลา และเราก็ใช้ความสุขอยู่กับเขาให้ได้มากที่สุด”