เชื่อว่าหลายๆ คงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี สำหรับ “ทูน หิรัญทรัพย์” อดีตพระเอกขวัญใจหลายๆ ท่าน เริ่มมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่องแก้วตาพี่ หลังจากนั้นก็มีผลงานทางจอเงินออกมาหลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่มีผลงานกับนางเอกคู่ขวัญอย่าง “เปิ้ล จารุณี สุขสวัสดิ์” ต่อมาได้ผันตัวไปเล่นละครโทรทัศน์โดยรับบทพระเอก และโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนกระทั่งได้รับบทพ่อ ซึ่งล่าสุด พระเอกรุ่นใหญ่ในตำนาน “ทูน หิรัญทรัพย์” ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษของรายการ Club Friday Show พร้อมลูกสาวคนสวยที่ไม่ค่อยออกสื่อ แต่มาออกในรายการนี้เพราะเป็นที่เดียวที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยที่จะเล่า อุ่นใจที่จะบอก โดยเจ้าตัวเผยตัวเองและอดีตภรรยาต่างพยายามรักษาสถานะครอบครัวเพื่อลูกมาตลอดเกือบ 39 ปีอัปเดตดวงตาของพี่หน่อย ทีมงานบอกว่า ข้างซ้ายมองไม่เห็นเกือบ 100% ?
ทูน : “ใช่ครับ มันเริ่มจากข้างขวามันมืดไปแล้วนะครับ ซึ่งเหลือแต่ข้างซ้ายซึ่งมันข้ามมาได้ ข้างซ้ายมันก็รักษาไว้ แต่หมอบอกว่ามันเหลือแค่ประมาณ 30% เอง”
ตอนนี้ข้างไหนชัดกว่ากัน?
ทูน : “ข้างซ้ายครับที่เห็นได้ แต่ข้างนี้ไม่เห็นแล้ว”
มันมืดเลยเหรอพี่?
ทูน : “เวลาคุยกับใครก็อย่าหยิ่งครับ ต้องหัน”
เมื่อกี้เจอข้างล่างดูไม่มีอาการอะไรที่ผิดปกติเลย?
ทูน : “เวลามันผ่านไปนานแล้วเป็นปีละ เราก็ชินกับมัน แล้วการที่จะเห็นอะไรต่างๆ มันก็กลับมาปกติ แต่ว่าขับรถไม่ได้เท่านั้นเองที่ไม่ปกติ มันอันตรายคนอื่น ไม่ใช่อันตรายเรา”
หมอบอกว่ารักษาได้ไหม?
ทูน : “รักษาได้ครับ แต่ต้องรอให้สเต็มเซลล์มันเข้าสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นกว่านี้ เพราะทุกวันนี้ถ้าตัดนิ้ว หูหาย เขาใช้สเต็มเซลล์ปลูกได้ แต่ว่าตามันละเอียดอ่อนเลยไม่ได้ครับ”
ถ้าจำไม่ผิดพี่เพิ่งไปผ่าตัดตามา?
ทูน : “ผ่าตานี่หมายถึงเราเปลี่ยนกระจกตาครับเมื่อปีที่แล้วนี่เอง”
แล้วมันดีขึ้นไหม?
ทูน : “ก็ดีขึ้น คือมันเสื่อมหมอเลยบอกว่าเปลี่ยนเถอะ อะไหล่ยังมีอยู่ก็เลยเปลี่ยนให้”
รักษาตัวนานไหม?
ทูน : “ไม่นานครับ ไปวันนี้พักคืนนึง ตอนเช้าทำเรื่องผ่าตัดอะไรเรียบร้อย ไม่ถึง 40 นาทีเราก็ออกมาแล้วครับ ที่ตกใจคืออายุขนาดนี้ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟไม่น่าจะเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบเป็น 3 เส้นด้วย หมอบอกเอา 2 เส้นก่อน ก็เลยไปทำบอลลูน พอมันตีบปั๊บมันเหมือนกับหลอดน้ำ เลือดไม่ไป มีอาการปวด นู่น นี่ ก็เลยไปหาหมอ หมอเขาฉีดสี ก็เลยรู้ว่ามันไปตันอยู่ตรงนั้น”
น้องน้ำตาลให้กำลังใจคุณพ่อยังไง?
น้ำตาล : “ถ้าคุณพ่อไปผ่าตัดเราก็ไปนอนเฝ้า พอพ่อกลับมาพักฟื้นเราก็ผลัดกันไปนอนเฝ้า แล้วก็ช่วยกันเตือนคุณพ่อทานยาแล้วก็หยอดตา”
ทูน : “เตือนแต่ไม่รู้จะฟังไหม”
ครั้งที่แล้วที่พี่มา พี่เล่าให้ฟังว่า เพราะปัญหาสุขภาพทำให้คิดฆ่าตัวตาย นั่นคือเรื่องผ่านมานานแล้วใช่ไหม?
ทูน : “ใช่ครับ”
น้ำตาลรู้เรื่องนี้ไหม?
น้ำตาล : “ไม่ทราบเลยจนกว่ามีออกข่าว แล้วหนูก็ทราบพร้อมๆ กับทุกคนเลย”
วันที่เราทราบข่าว เราตกใจไหม?
น้ำตาล : “ก็ตกใจ มีไปหาคุณพ่อ 2-3 วันหลังจากนั้น แล้วด้วยความที่เราไม่ค่อยพูดกับคุณพ่อตรงๆ อยู่แล้ว เราก็มีการแอบเขียนจดหมายให้ทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานคุณพ่อ”
ทูน : “ลูกเขาขี้อาย ต้องเขียนจดหมาย เขาบอกว่าเขาเป็นห่วง เขารัก แล้วถ้าวันนึงไม่มีเรา เขาไม่รู้จะรับสภาพตรงนั้นได้ไหม อารมณ์อาจจะเปลี่ยนไป เขาเป็นคนที่คนข้างละเอียดอ่อน พี่อ่านจดหมายแล้วรู้สึกว่าเขาต้องการเรา แล้วไม่ใช่ตัวเขาอย่างเดียว แต่ว่าพี่สาวอีก 2 คนด้วย คือเราไม่ใช่ทีภาระแต่เรามีความรักที่อธิบายไม่ได้”
ถือจดหมายในมือ ลืมไปเลยไหมเรื่องฆ่าตัวตาย?
ทูน : “มันลืมก่อนนั้น เพราะว่าคิดก่อนว่าเราอยากเห็นวันที่ลูกประสบความสำเร็จ รับปริญญาทั้ง 3 คน เราอยากจะอยู่ถึงวันนั้น แล้วก็ถ้าเป็นไปได้เราอยากจะอยู่ถึงวันที่เขาแต่งงาน เราส่งลูกคนโตไปแล้วก็เหลืออีก 2 คน ที่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะว่าเรามีสติที่จะเตือนเราตลอดเวลาว่ายังมีคนที่รักเราอยู่ โดยเฉพาะเลือดเนื้อของเราเองก็คือลูกๆ นี่แหละ เราก็เลยต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เขา”
ตอนที่เราเจอปัญหาหนักๆ ที่เราไม่อยากอยู่แล้ว เคยคิดไหมว่าจะไปปรึกษาลูก?
ทูน : “จริงๆ ไม่ค่อยให้คำปรึกษาลูกได้ ใครคำปรึกษาใครๆ ก็ได้ เพราะว่าเป็นนิสัยที่อยากให้อยู่แล้ว แต่เป็นคนที่ไม่ขออะไรจากใคร หรือไม่อยากได้อะไรจากใคร ไม่ใช่เป็นคนหยิ่งหรืออีโก้ แต่เป็นคนที่มีศักดิ์ศรี”
พี่แก้ปัญหาให้คนทั้งโลกได้ แต่ที่แก้ไม่ได้คือตัวเอง?
ทูน : “ถูกต้องครับ”
ทุกวันนี้เริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่มันเกิดปัญหาต่างๆ มา แล้วเราก็ยังต่อสู้ สร้างกำลังใจ เพื่ออยู่กันอย่างมีความสุขต่อไป?
ทูน : “คือบิ๊วตัวเองทุกเช้า ตื่นมามันต้องทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่มีคุณค่าให้กับผู้อื่น เราก็เลยคิดว่าเรามีความรักใหม่แล้ว เขาเรียกว่าสร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้กับเยาวชน ก็เลยทุ่มเทเวลา 7-8 ปีนี้ให้กับการอบรมเยาวชน อันนั้นคือ 1 เรื่อง พอมันมาวิกฤตโควิด เราก็ไปนู่นเลย เพราะเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพเรืออยู่แล้ว เราก็เลยไปช่วยเขาประชาสัมพันธ์เรื่องการดูแลตัวเองในช่วงโควิด”
ที่พี่ทำบอลลูน 3 เส้นที่หัวใจ คือเมื่อไหร่?
ทูน : “ประมาณ 2 ปีแล้วครับ”
ตอนที่เรารู้ว่ามันมีความผิดปกติของร่างกาย ตอนนั้นความรู้สึกเป็นยังไง?
ทูน : “มันอึดอัดไปหมด เหมือนคนมีอะไรมาทับที่หน้าอก แล้วมันก็หายใจไม่ออกแล้วจะเป็นลม ก็เลยรู้ว่ามันไม่น่าจะดี เผอิญลูกสาวน้ำหวาน มาพอดี เขาถามป๊าเป็นอะไร หน้าซีดแล้ว พาป๊าไปที่โรงพยาบาล พอไปที่โรงพยาบาล ขั้นตอนและกระบวนการของโรงพยาบาลคือ นอนก่อน เดี๋ยวดูอาการ แต่เราขอออกซิเจน หายใจไม่ออก แล้วก็ปวดหน้าอกมาก คือเราเรียกว่าหน้าอกนะ เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นหัวใจ เราก็ขอออกซิเจน หมอบอกไม่ได้ เอาถุงมาให้แล้วให้เป่าผ่านในถุงกระดาษ เราก็โมโหหมอ บอกว่าผมจะตายอยู่แล้วให้ผมเป่าอยู่เนี่ย แต่มันเป็นธรรมชาติที่เวลาคนหายใจไม่ออก อย่าให้อ๊อกซิเจนเดี๋ยวมันจะเยอะเกินไป ก็เลยกลายเป็นว่าค่อยๆ หายใจ และค่อยๆ ลดอาการของความเครียดตรงนี้ หมอถามว่าเจ็บตรงไหน เขาก็เห็นว่าตรงนี้ผิดปกติก็เลยต้องเอ็กซ์สเรย์ไปฉีดสี ก็เลยรู้”
ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องมองเห็นกับอาการป่วย มันมีผลต่อการทำงานไหม
ทูน : “มันเหมือนกับคนอกหัก ก็จะเศร้าแบบว่าชีวิตนี้ไม่เอาแล้ว แต่พอเราเจอรักใหม่คือแพชชั่น เรามีแรงบันดาลใจ คือการทำให้เรามีค่านิยมใหม่ๆ ขึ้นในสังคม”
พี่เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หย่ากับภรรยามา 20 ปี?
ทูน : “ครับ เกือบๆ”
แล้วคนที่พาพี่กับอดีตภรรยาไปหย่าคือลูกๆ?
ทูน : “ลูกๆ ครับ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพอลูกๆ เห็นเราทะเลาะกันบ่อยๆ เขาก็เลยบอกว่าถ้าไม่มีความสุขเราควรจะแยกกันอยู่ ถ้าเห็นหน้ากันทุกวันอาจจะมีเรื่อง มีราว เราก็ซอฟๆ ลงมา โอเคเราไปอยู่ที่ออฟฟิศ กลายเป็นว่าข้างล่างทำงาน ข้างบนเป็นที่พักอาศัย เราก็ได้อรรถรสของชีวิตอีกแบบ ก็คือว่ามีอิสระภาพมากขึ้นในการทำงาน แล้วเราเป็นคนที่ทุ่มเท”
อย่างนี้ลูกๆ อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่วันไหนบ้าง?
น้ำตาล : “ตอนมัธยมน้ำตาลจะอยู่โรงเรียนประจำ เสาร์-อาทิตย์ บางทีจะสลับไปอยู่กับคุณพ่อบ้าง คุณแม่บ้าง”
ทูน : “ลูกๆ ก็หมุนเวียนกันมาอยู่ ลูกสาวคนโตมาอยู่อาทิตย์นี้ อาทิตย์หน้าคนเล็ก บางทีก็มาพร้อมกัน 3 คน แล้วพ่อต้องนอนที่พื้น เตียงมันไม่พอ”
ทุกวันนี้เราเจอการหย่าร้างในครอบครัวเยอะมาก แล้วมันก็มีคำพูดว่าเด็กส่วนใหญ่จะมีปัญหาจากการที่พ่อแม่หย่ากัน แต่ครอบครัวนี้ดูเหมือนไม่มีปัญหา พี่จัดการกับเด็กยังไง?
ทูน : “เขาเรียกกระบวนการความคิด ถ้าสมมติมนุษย์ 2 คน ไม่สามารถที่จะร่วมชีวิตกันได้ อันแรกเลยต้องยอมรับก่อนว่ามันเป็นไปไม่ได้”
แต่การยอมรับเนี่ย บางทีมันทำให้เด็กที่ไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ จะยอมรับยังไง?
ทูน : “อันแรกคือบุคคลก่อน แล้วเมื่อมีการยอมรับและตกลงกันได้ เราถึงจะไปเอาผลที่เราสรุปเนี่ยมาบอกลูก ซึ่งบอกลูกก็เหมือนกันครับ กระบวนการมันมีอย่างนี้ 1.ความจริงมันมีอย่างนี้นะลูก ต้องยอมรับแล้ว มันไปไม่ได้ 2.เมื่อยอมรับเสร็จแล้วเนี่ย เราก็เลือกที่จะปฏิบัติได้ ก็คือตกลงมันเป็นอย่างนี้ นี่คือธรรมชาติ นี่คือชีวิต เราจะดำเนินยังไงต่อ เราก็จะเดินไปในฐานะลูก ในฐานะภรรยา ในฐานะสามี ในฐานะพี่น้อง มันก็ปรับตัว มันจะมี 2 อย่าง คือรับรู้แล้วยอมรับ แค่นั้นแหละครับ”
คนโตอายุเท่าไหร่แล้วพี่?
ทูน : “คนโต 37-38 ครับ คนโตคือน้ำฝน แต่งงานมีลูกแล้ว คนกลางก็อายุประมาณ 35-36 แล้วครับ แล้วน้ำตาลมาทีหลัง อายุ 26”
เห็นบอกว่าลูกสาวคนที่ห่วงที่สุดคือน้องน้ำตาล?
ทูน : “ครับ ที่เป็นห่วงเพราะว่าแต่ละยุค แต่ละสมัยนี่ เราเลี้ยงลูก น้ำฝนกับน้ำหวานในยุคนึง ซึ่งอายุเขาใกล้เคียงกัน มันเลี้ยงอีกแบบนึงได้ ประมาณว่าคุยเป็นเพื่อนกับลูกได้ แต่พอมายุคให้หลัง 10 กว่าปีเนี่ยก็ต้องเลี้ยงอีกแบบ เพราะว่าเด็กเจนนี้แบบ ข้าเก่ง ข้าเลิศ ข้าอยู่ได้คนเดียว เขามีความมั่นใจสูง”
น้ำตาล : “ก็ไม่ค่อยมั่นใจนะคะ แต่ก็พอไหวอยู่”
อันนี้เป็นห่วงหรือเป็นหวง?
ทูน : “ทั้งคู่ครับ”
น้ำตาล : “น่าจะหวงหนักกว่า”
ตอนมีน้ำตาลเรียกว่าลูกหลงก็ได้ พอคุณแม่ไปตรวจครรภ์ คุณหมอบอกว่าอาจจะมีความผิดปกติ คุณหมออยากให้เอาออก แต่คุณพ่อ คุณแม่ ไม่เอาออก เป็นลูกเขาแล้วยังไงเขาก็ต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด น้ำตาลได้รู้เรื่องนี้ไหม?
น้ำตาล : “พอทราบมานิดหน่อย ก็ดีใจ อย่างน้อยคุณพ่อ คุณแม่ก็ให้โอกาสมาเกิด แต่ว่านี่ก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ก็เป็นคนติ๊งต๊องเฉยๆ ไม่มีอะไร”
หมอบอกว่ามีความเสี่ยงสูง ทำไมเราถึงเอาไว้?
ทูน : “ตอนแรกที่ฟังคุณหมอก็อยากจะลุกเลย คุณหมอพูดแบบนี้ได้ยังไง คือชีวิตนึงที่เกิดมาอาจจะเป็นวุ้นอยู่ แต่ว่าเขาอยากมาเกิดแล้วอยู่ในครอบครัวของเรา ทำไมเราไม่ให้โอกาสเขา แล้วเรายอมรับว่าคุณหมอพูดจริง แต่คุณหมอไม่น่าพูดตรงๆ อ้อมๆ บ้างก็ได้ ออกมาอาจจะพิการ อาจจะออทิสติก ผมบอกคุณหมอ ผมสรุปง่ายๆ เลย เขาอยากมาเกิด ผมอยากมีลูก ก็ขอให้เขามาแล้วกัน เขาจะมาในสภาพไหน ผมก็จะรับ”
น้ำตาลสวยๆ แบบนี้ไม่คิดอยากเข้าวงการเหมือนคุณพ่อบ้างเหรอ?
น้ำตาล : “เห็นคุณพ่อทำงานในวงการมาตั้งแต่เด็ก เราก็คอยไปเฝ้าเขาที่กองถ่าย ไม่ค่อยอยากเข้า เพราะเข้าใจว่า ก็เหนื่อย ต้องไปรอคิวจนถึงเช้า จะถ่ายเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจ”
ที่ไม่อยากเข้า เพราะไม่อยากเป็นคนบ้างานเหมือนคุณพ่อหรือเปล่า?
น้ำตาล : “ด้วยค่ะ คือเข้าใจมากกว่าว่ามันเป็นงานที่ต้องเจอหลายๆ คาแรคเตอร์ ต้องดีลกับหลายๆ อย่าง ไม่ใช่งานที่ง่าย อย่างที่ใครๆ เขาเข้าใจกัน”
บ้างานขนาดวันเกิดลูกก็ไม่ไป คิดถ่ายละคร อันนี้จริงไหม?
ทูน : “อันที่ 1.มันเกิดทุกปีอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ เราก็เป่าเค้กให้เขา มีวันพิเศษชวนเพื่อนๆ เขามาเล่นอะไรกันที่บ้าน โดยพื้นฐานตัวเองไม่ค่อยสนใจอะไร สนใจเรื่องเดียว วันนี้จะคิดงาน วันนี้จะวางแผน วันนี้จะออกไปพบปะ ไปอบรมเยาวชน ก็เลยมองว่าเรื่องอย่างนี้ไม่สำคัญ”
เห็นว่ารับปริญญาก็ไม่ไป?
ทูน : “ที่ไม่ไปสำหรับน้ำตาล เขาอยู่ถึงออสเตรเลีย”
น้ำตาล : “ที่ออสเตรเลียหนูไม่ได้มายด์อยู่แล้ว เข้าใจว่ากว่าจะเคลียร์งานเสร็จ กว่าจะไป แต่ว่าหนูรับ 2 ใบนะป๊า”
ทูน : “รู้ลูก เพราะป๊าจ่ายเงินอยู่”
น้ำตาล : “หนูรับที่ไทยด้วย คุณพ่อก็ไม่ได้มา แต่ก็เข้าใจงานที่จุฬาฯ คนเยอะ คุณพ่อมาเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็อะไร ก็เข้าใจ ไม่ได้น้อยใจ”
ลูก 8-9 ขวบให้เริ่มดื่มเบียร์แล้วเหรอ?
ทูน : “โลกใบนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง เขาจะเจออะไรบ้าง แต่เราก็บอกว่าเห้ย ถ้าเราให้เขาเริ่มต้นจากการมีประสบการณ์ เขาก็จะตัดสินใจเองได้ จะบอกลูกตลอดเวลาว่ามันมีทางเลือกตลอด 8-9 ขวบ อยากดื่มเบียร์ไหมลูก อยากลองๆ เห็นลุงเขาดื่ม เพราะเราเป็นคนไม่ดื่มไง เราก็เลยเอาเบียร์ให้ แต่เป็นเบียร์ดำ มันก็จะขมมาก ก็ให้เขาดื่ม แล้วถามว่าดื่มอีกไหม เขาบอกว่าไม่เอาแล้ว เหม็นๆ โอเคว่าไป”
พี่รักลูกทั้ง 3 คน แต่พี่ดูปล่อยอีก 2 คนมากกว่าปล่อยน้ำตาล?
ทูน : “ประมาณเท่าๆ กันนะครับ แต่วิธีการอบรม วิธีการสอนเขาคือภาคปฏิบัติมากกว่าให้เขามีประสบการณ์และให้เขาตัดสินใจเองว่าเขาทำยังไง”
พ่อเข้มงวดกับเราไหม?
น้ำตาล : “มากที่สุดเลยค่ะ จริงๆ คุณพ่อน่าจะเข้มงวดกับพี่คนโตด้วยนะ พี่คนโตจะมองว่าคุณพ่อปล่อยหนูมากสุด แต่จริงๆ ไม่ค่อย”
สมัยก่อนกลับบ้านกี่โมง?
น้ำตาล : “สมัยก่อนไม่ได้ไปไหนเลย บ้านเพื่อนไปได้ แต่ต้องกลับเร็ว แล้วก็นอนไม่ได้”
จริงหรือไหมที่หวงไม่อยากให้เขาไปไหน ไม่อยากให้เขาเจอผู้คนเลย?
ทูน : “ถ้าเป็นเด็กผู้ชายมันจะซนยังไงเราก็ต้องปล่อย เพราะอยากให้เขามีประสบการณ์ต้องสู้ชีวิต ต้องอยู่ในสังคมได้ แต่ลูกผู้หญิง มันค่อยๆบ่ม ค่อยๆ อบรม ค่อยๆ สอน”
พี่กลัวอะไร?
ทูน : “คือเราคิดว่าเขายังไม่พร้อมมากกว่า”
จริงไหม พ่อห้ามเรามีแฟนจนกว่าจะเรียนจบ?
น้ำตาล : “ไม่จริงค่ะ เพราะคุณพ่อบอกว่าห้ามมีแฟนเลย”
แต่เขาแอบมีแฟน แล้วพ่อก็รู้ด้วย แต่ไม่เคยบอกลูกว่ารู้?
ทูน : “รู้ทุกอย่าง วันที่ส่งตัวที่จุฬาฯ ถึงไปแนะนำ ก็เจอครู เจออะไรต่างๆ แจกนามบัตรผมนะครับ มีอะไรโทรหาผมนะครับ แล้วผมขอเบอร์โทรศัพท์ด้วยนะครับ เผื่อมีอะไร ผมชอบอบรม อ้างไปก่อน แต่จริงๆ โทรไปถาม น้ำตาลเป็นยังไงบ้าง ตั้งใจเรียนไหมครับ โดดเรียนบ้างไหม”
อันนี้น้ำตาลไม่เคยรู้?
น้ำตาล : “ไม่ทราบเลย”
ไม่รู้เหรอ ตอนปี2 อาจารย์ทุกคนในนั้นคือสายลับของพ่อหมด?
น้ำตาล : “น่ากลัวมาก ไม่เคยทราบเลย ถามว่ารู้สึกยังไง ก็คุณพ่อสนใจและใส่ใจหนูดี แต่ถ้าตอนนั้นรู้เราคงระวังตัวขึ้นนิดนึง”
แล้วเขาทำตามสัญญาไหม เขาเรียนจบก่อนไหมถึงมีแฟน?
น้ำตาล : “มีระหว่างเรียนค่ะ คบกันตอนนี้ประมาณ 6 ปี”
คบกัน 4-5 ปีถึงพามารู้จักกับพ่อ วันนี้ยอมรับน้องก้องหรือยัง?
ทูน : “1.เราดูผู้ชาย เราต้องดูว่าเป็นผู้นำให้ลูกเราได้ไหม 2.มีไหวพริบยังไง แก้ไขปัญหาอะไรได้ไหม 3.เป็นสุภาพบุรุษให้เกียรติลูกเราหรือเปล่า”
กว่าจะรู้คำตอบพวกนี้พี่ต้องสร้างสถานการณ์ ตอนนั้นพี่ทำอะไร?
ทูน : “จัดงานวันเกิดของเราแล้วของลูกด้วย มันก็มีเพื่อนๆ ด้วย ตัวผู้ชายจะยืนห่างๆ เดินรอบๆ สังเกตสิ่งแวดล้อม แล้วก็เจาะแจะกับเพื่อนเขา เพราะตอนเด็กเพื่อนๆ เขาก็มานอนที่บ้านเหมือนกัน เราก็มองๆ พอลูกเห็นป๊าเริ่มคอยาวแล้ว เขาก็ไปตามมาแล้วแนะนำให้รู้จักกัน”
น้ำตาล : “เพื่อนชื่อ ก้อง ค่ะ”
ตอนนั้นเรารู้ไหมว่าเขาเป็นมากกว่าเพื่อน?
ทูน : “แหม่…สัญชาตญาณ รู้ว่าเขาชอบลูกเราแค่นั้น”
เราทราบไหมว่าคุณพ่อจัดงานเพื่อมาดูก้อง?
น้ำตาล : “ไม่ทราบเลย คิดว่าคุณพ่อน่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีแฟน เขาชวนมาคงจะแบบโอเพ่นแล้วนิดนึง ก็เลยชวนมา แต่ว่าพอมาถึงก็เขินๆ กันนิดนึง ก็จะเป็นบรรยากาศที่แบบคนนึงอยู่อีกมุมนึง คนนึงอยู่อีกมุมนึง หลังจากวันนั้นก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ”
เหมือนที่เขาพูดกันว่าผู้ชายเจ้าชู้มักจะหวงลูก เพราะกลัวกรรมตามสนอง?
ทูน : “มันคือข่าวลือ เป็นคนที่เหมือนจะเจ้าชู้แต่เป็นคนที่อัธยาศัยดี มนุษย์สัมพันดี เราเป็นมิตรกับทุกคน เจ้าชู้ไม่ได้อยู่ในสารระบบเรา มันเป็นการที่เราเป็นคนเฟรนด์ลี่”
พี่กำลังคบหาดูใจกับผู้หญิงอยู่ จริงไม่จริง?
ทูน : “จริง”
สาวสวยคนนี้อายุน้อยกว่าพี่ 20 ปีเหรอ?
ทูน : “จริง”
สาวสวยคนนี้อยู่ในวงการบันเทิงด้วย?
ทูน : “ครับ ทั้งในและนอกวงการ”
คนที่คุยอักษรย่อคือตัว k ใช่หรือไม่?
ทูน : “ใช่ครับ ตัว k เป็นชื่อเล่น ถามว่าอยู่ช่องไหน เขาอิสระครับ เป็นฟรีแลนซ์ จะบอกว่าไม่ใช่คนสวยอะไรมาก สวยที่ใจ”
เขาน่ารักยังไง?
ทูน : “เป็นคนที่คุยสนุก เพราะเราเป็นคนที่ทำงาน บางทีก็เครียด เขาก็พยายามคุยกับเราให้ผ่อนคลาย”
พี่เจอเขาที่ไหน?
ทูน : “ในกองถ่าย”
น้ำตาลรู้เรื่องนี้ไหม?
น้ำตาล : “รู้หมดเลยค่ะ”
ทูน : “รู้ได้ยังไง”
น้ำตาล : “หนูก็มีสายสืบของหนู”
แล้วหนูรู้สึกยังไง ป๊าเขามีคนคุยแล้วเขาเบิกบานใจแบบนี้?
น้ำตาล : “เขามีความสุขก็ดี ถ้าไม่ใช่คนที่มีภัยร้ายอะไรก็โอเค”
เรามีโอกาสได้เจอยัง?
น้ำตาล : ยังเลยค่ะ
คนนี้คุยนานหรือยัง?
ทูน : “ประมาณ 4 ปีแล้วครับ แต่ลูกไม่เคยเจอเลย เป็นห่วงความรู้สึกของลูกเขาด้วย เขาอาจจะคิดว่ามีแล้วเดี๋ยวมาแย่งความรักของเขาไปหรือเปล่า”
น้ำตาล : “จริงๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่เคยมีอยู่ครั้งนึง คุณพ่อเคยพาคนคุยมาแนะนำ ต้องบอกว่าตอนนั้นน้อยใจ ไม่คุยกับคุณพ่อไปสักพัก แล้วร้องไห้อะไรประมาณนี้ คุณพ่ออาจจะมองว่าประสบการณ์ครั้งนั้นอาจจะไม่ค่อยดี ก็เลยอาจจะไม่กล้าพามา”
อย่างคนนี้น้ำตาลอยากเจอไหม?
น้ำตาล : “อยากเจอ เจอก็ได้ค่ะ”
คนนี้น้ำตาลไฟเขียวไหม?
น้ำตาล : “อย่างที่บอกขึ้นอยู่กับคุณพ่อมากกว่า ว่าเขามีความสุขไหม คบกันแล้วชีวิตดีขึ้นก็เต็มที้ได้เลย”
ถ้าเขาจะมีครอบครัวใหม่กับคนนี้โอเคไหม?
น้ำตาล : “คิดว่าโอเคค่ะ อยากให้เขามีความสุขที่สุด”
อยากบอกอะไรกับสาว k ?
ทูน : “เราคบกันมานาน เราก็คิดว่าเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักกันมาเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ผมก็คิดว่าคงไม่ช้า ไม่นานคงจะปิดไม่มิด ยังไงก็ขึ้นอยู่กับน้องเขานะครับว่าจะพร้อมเมื่อไหร่”