หลังจากที่ ดีเจแมน พัฒนพล ได้มาออกรายการแฉ อัปเดตชีวิตหลังได้รับอิสรภาพอีกครั้ง โดยในช่วงหนึ่งของรายการ ดีเจแมน ได้แฉถูกคนในวงการบันเทิงเรียกเงิน 14 ล้าน ว่าจะช่วยวิ่งเต้นให้พ้นคดีได้ ถ้าไม่ให้ไม่รอดแน่ โดยระบุว่า “ยอมรับว่าเรื่องเดียวที่เราแค้นสุดๆ คือเราเจอคนในวงการที่เป็นข่าวดัง มาเรียกเงินวิ่งเต้นช่วยคดี มาเรียกตนและใบเตย คนละ 7 ล้านบาท ทั้งที่เราไม่มีอะไรเหลือแล้ว แต่ทุกวันนี้มันยังลอยนวลอยู่เลย ทำไมมันทำแบบนี้ได้ แต่เราต้องขายของทุกอย่าง เพื่อต่อลมหายใจชีวิต”
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2568 ทางด้านนักร้องสาวชื่อดัง ใบเตย สุธีวัน ได้มาออกรายการแฉ เปิดใจน้ำตาคลอพูดถึงเรื่องดังกล่าวระบุว่า
ไม่อยากพูดเยอะ วันนี้อยากขอความเห็นใจจากพี่ๆ ทุกคน ชีวิตหนูมันแย่มาตลอดมันเจออะไรร้ายๆ มาตลอด วันนี้อะไรไปแตะต้องเรื่องราวแย่ๆ หรือโยงคนอื่นอีก ไม่อยากข้องเกี่ยวเลย ที่ผ่านมามันปวดหัวใจหนูมาก กับทุกเหตุการณ์ เครียดมาก เราเป็นซึมเศร้าหนักมากด้วย พอเจออะไรแบบนี้อีก เหมือนภาพเก่าๆเดิมๆมันกลับมา ที่ต้องมานั่งพูด นั่งหวาดระแวง นั่งกลัวกับการเจออะไรแบบนี้ อยากขอความเห็นใจ
ใบเตยทำงานทั้งวันตั้งแต่เช้า ไม่ได้รู้ดีเทลอะไรมากมาย หนูอยากแยกแยะทุกอย่างในชีวิตให้ดีที่สุด รู้สึกว่าเห็นใจหนูหน่อย หนูไม่ไหว (เสียงสั่น) กับการที่ต้องมานั่งเจออะไรแบบนี้อีก ถามว่าสิ่งที่เจอ ที่ได้รับรู้กันไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่หนูเจอเลวร้ายกว่านั้น หนูเจอมากกว่านั้นเยอะมาก อันนั้นไม่ได้เลวร้ายที่สุด หนูเจออะไรหลายอย่างการกระทำลักษณะนี้ ใครมีคดี คิดว่าเจอเหมือนกันหมด
ใบเตยได้รับดีเอ็มเยอะมาก ว่าเคยมีคนเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้หมด ใบเตยไม่เคยได้เล่าใครว่าหนูเจอและครอบครัวเจอเยอะมากๆ ไม่ใช่แค่เป็นใคร เจอทุกรูปแบบ ทุกอาชีพ อันนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ว่าอาชีพนี้มีอยู่จริง ขนาดหนูอยู่ข้างในหนูยังเจอ เป็นเรื่องที่เราไม่อยากจำมาตลอดค่ะ คนหยิบยื่นความช่วยเหลือแต่หวังผลประโยชน์ หลายๆชนชั้นในวันที่เราเจอคดี ใครเจอคดีแล้วมีชื่อเสียง หรือเป็นคดีดังๆ หน่อย ก็คิดว่าจะโดนแบบนี้
ใบเตย ยังบอกอีกว่า ไม่ได้คุยดีเทลอะไรมากกับพี่ฟิล์ม ตอนนี้ไม่ได้อ่านรายละเอียดสองฝั่ง ว่าเริ่มต้นจากอะไร และจบที่ตรงไหน แต่ตอนนี้หนูไม่รู้จะพูดอะไร ต้องบอกแบบนี้ ไม่อยากพูดถึงมันด้วย และรู้สึกว่ามันมีผลกระทบกับจิตใจหนู หมายถึงให้หนูไปนั่งพูดเกี่ยวกับอะไรแบบนี้เดิมๆ ภาพเดิมๆ มันแย่
ที่พี่แมนบอกว่าคนกันเองอยู่ในบริบทเดียวกัน ทำวงการเดียวกัน แต่เหมือนจมน้ำแล้วโยนเชือกมา แต่ไม่รู้เชือกดึงได้หรือเปล่า ถามว่าอยากพูดยังไง มุมใบเตย อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว มันทำให้ชีวิตเราต้องกลับไปเจออะไรแบบเดิมๆ หนูรู้สึกว่าอยากให้จบลงตรงนี้ หนูไม่ได้ดูดีเทลหรือรายละเอียดอะไรจากทั้งสองฝั่ง เห็นใจหนู ก็อยากให้ข้ามผ่านมันไป แล้วไม่อยากพาดพิงถึงใครอีกแล้ว หนูได้ออกมามีชีวิตอิสระแล้ว วันนี้ไม่อยากยุ่งหรือข้องเกี่ยวกับใครในส่วนนี้อีกเลย เราอยู่เฉยๆ มาตลอด
เมื่อ มดดำ ถามว่ายังรู้สึกติดค้างอะไรในใจมั้ยที่เจอปัญหาหนัก แล้วมีคนมาเรียกร้องอะไรจากเรา ใบเตย ได้ตอบว่า ไม่เคยเลย เราคิดว่ามันคือวิบากกรรม ย้อนกลับไปหนูก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยในวันนั้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอหรือปะทะได้เลย หนูเจอตั้งแต่เรื่องพี่แตงโม มาเป็นพี่สาวหนูอีกคนเจอคดีเดียวกัน แล้วมาเป็นหนู มันพังมาตั้งแต่ ณ วันนั้นมันเลวร้ายมาตั้งแต่ ณ วันนั้น หนูเข้าไปในนั้นอีก เลวร้ายหนักกว่า หนูต้องถูกพรากลูก น้องเขยหนูตาย มันแย่มาก ถ้าตายได้หนูก็อยากตายนะ (ร้องไห้)
วันที่ร้องเพลงแล้วต้องติดกำไลอีเอ็ม คือใบเตยทำตามกฎหมาย สิ่งที่ตั้งมั่นคือขอให้ได้ออกมาอย่างเดียว มันสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในโลก แค่ขอให้ได้ออกมา มันต้องเข้มแข็ง พลังของความเป็นแม่ล้วนๆ ตอนที่โดนคดีก็ต้องเอาของไปขาย เพื่อมาใช้จ่ายเรื่องคดี ให้น้องเอาไปขาย เพื่อให้เขามีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัว ตอนนี้ของก็แทบเกลี้ยงหมดแล้ว มีความหวังว่าจะได้ออกมา เชื่อมั่นในความยุติธรรม
วันที่รู้ว่าได้ประกันตัว ดีใจมากๆ รู้ว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในชีวิต ใบเตยสู้มากๆ พูดกับตัวเองทุกวันต้องรักษาชีวิตให้ออกมาเจอครอบครัวให้ได้ ไม่คิดว่าจะต้องเจอความพลัดพราก ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย สิ่งที่บอกตัวเองตลอด คือเราเป็นคนดี อย่าลืมสิ่งที่ถูกต้องของตัวเอง
อยากขอบคุณเฮียฮ้อ วันที่ออกมา เฮียฮ้อบอกว่าอยากให้ออกมาทำงานหาเงิน เราไม่อยากให้ใครมาสงสาร หรือบอกเราว่าสู้ๆ เราเชื่อมั่นในตัวเราว่าเรามีความสามารถและไม่เคยทำอะไรที่ถูกกล่าวหา ความรู้สึกแรกที่ร้องเพลงหลังออกจากคุก คืองงมาก ไม่คิดว่าจะจำเนื้อเพลงและท่าเต้นได้ แต่มันก็ผ่านมาได้ เพราะมันคือชีวิตและจิตใจของหนูที่ทำมาตลอดชีวิต
ใบเตย บอกอีกว่า ตอนนี้ไปเล่นคอนเสิร์ตก็ต้องขับรถเอง เพราะกำไลอีเอ็มไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ จึงต้องขับรถไปเองทั่วประเทศ ไกลแค่ไหนก็ขับรถไป ทุกวันนี้ต้องกินยา เพราะเป็นผู้ป่วยจิตเวช เป็นตั้งแต่เข้าไปในนั้นเลย แล้วก็ทำการรักษามาตลอด จนถึงทุกวันนี้ เป็นหนักถึงขนาดอยู่คนเดียวไม่ได้ หนักสุดก็จะคิดฆ่าตัวตาย
ทุกวันนี้กินยาเยอะ เพื่อรักษาเคมีในสมอง แก้เศร้า ต้านเศร้าไม่ให้ร้องไห้ เราได้รับผลกระทบทางจิตใจเยอะ ยิ่งเป็นเรา มีชื่อเสียง มันก็มากกว่าปกติ หนูเจอสิ่งที่หนักมากสำหรับหนูคือการสูญเสีย การจากตายของแฟนลุกซ์ ต้องเข้าใจว่าคู่หนูกับคู่ลุกซ์คบมาคู่กัน วันเกิดเหตุการณ์ เขาไปทั้งคู่ โห ยิ่งกว่าช็อก เราอยู่ในนั้น ณ วันนั้นเราไม่รู้อะไรเลย ทุกคนไม่มีใครกล้าบอกเรา เรารู้จากคนในนั้น หนูเป็นลมอยู่ในนั้นเลย ทุกวันนี้ต้องรีบเข้มแข็ง บางทีใบเตยเหม่อ ลูกก็ถามตลอด ก็พยายามมาก
ขณะที่ทางด้าน ลุกซ์ น้องชายใบเตย พูดเสริมว่า คนที่มาช่วยก็คือลูกค้าเก่าๆ ทั้งนั้น เขาอาจจะสงสารและเห็นใจ และกว่าจะมีลูกค้าใหม่มาก็นานหลายเดือน นอกจากลูกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้พี่เตยมีความสุขคือการร้องเพลง ถ้าไม่มีงานก็จะดาวน์ๆ คนรอบข้างรู้หมด ทุกคนพูดตลอดอยากให้แม่มีงาน ตั้งแต่เขาออกมา ลุกซ์ไม่อยากไปแตะเรื่องเก่าๆ เรื่องในอดีตกันเลย แต่เป็นห่วงเขามาก เมื่อวานนั่งรถขากลับแล้วพี่แมนพูดว่าหนูไม่ค่อยห่วงพี่เตย จริงๆ อยากให้เขากลับมาแล้วเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง
ลุกซ์ ยังเผยอีกว่าตอนต้องเอาข้าวของพี่มาขาย เราก็เขินเหมือนกัน แต่ทำเพื่อประทังชีวิต แต่ก็เกลี้ยงเหมือนกัน เก็บไว้แค่ข้าวของไม่กี่ชิ้นเท่านั้น