ผลไม้เป็นแหล่งวิตามินและใยอาหารที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่ใช่ว่าผลไม้ทุกลูกบนแผงจะปลอดภัยเหมือนกันทั้งหมด บางลูกแม้จะดูสด น่ากิน หรือมีขนาดใหญ่ แต่ก็อาจแฝงความเสี่ยงเอาไว้ หรือบางลูกอาจมีร่องรอยสีสันซีดหมอง หรือมีเชื้อรานิดหน่อยแล้วนำมาขายถูก ๆ ซึ่งท้ายที่สุดอาจต้องแลกด้วยสุขภาพ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ 3 ชนิดนี้จะดีกว่า เพื่อไม่ให้เผลอกลืน ต้นตอมะเร็ง เข้าไปโดยไม่รู้ตัว
1 ผลไม้ที่ขึ้นรา แม้จะขึ้นเพียงเล็กน้อย

ผลไม้ที่ขึ้นรามีสารก่อมะเร็ง (ภาพประกอบ)
หลายคนมีนิสัยปอกทิ้งเฉพาะส่วนที่ขึ้นราแล้วกินส่วนที่เหลือเพื่อประหยัด อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า เชื้อราบนผลไม้อาจสร้างสารอะฟลาทอกซินได้ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 ที่ IARC (สำนักวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ) ยืนยันว่ามีศักยภาพสูงในการก่อมะเร็งตับ
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (สหรัฐฯ) พบว่า เส้นใยของเชื้อราและสารพิษอะฟลาทอกซินมีคุณสมบัติแพร่กระจายได้รวดเร็วในของเหลวภายในเซลล์ และสามารถลุกลามไปทั่วทั้งผลได้ แม้ตาเปล่าจะมองไม่เห็นก็ตาม การสะสมอะฟลาทอกซินเป็นเวลานานจะทำลายเซลล์ตับและก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของยีนที่อันตราย
ดังนั้น เมื่อผลไม้มีสัญญาณของเชื้อรา แม้เพียงจุดเล็ก ๆ ก็ควรทิ้งให้หมดอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องสุขภาพของครอบครัว
2 ผลไม้ที่มีรูปร่างผิดปกติและขนาดไม่ธรรมดา

ไม่ควรกินผลไม้ที่มีขนาดผิดปกติหรือรูปร่างบิดเบี้ยว (ภาพประกอบ)
ผลไม้ที่มีขนาดใหญ่เกินไป รูปร่างบิดเบี้ยว หรือมีสีสันผิดแปลก อาจเป็นสัญญาณของการใช้สารเร่งการเจริญเติบโตในกระบวนการเพาะปลูก ตามรายงานด้านความปลอดภัยอาหารของ EFSA (สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งยุโรป) การแทรกแซงด้วยสารเคมีมากเกินไปไม่เพียงทำให้โภชนาการเสียสมดุล แต่ยังอาจทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายเอาไว้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Hazardous Materials ระบุว่า สารเคมีตกค้างที่ไม่ถูกควบคุมสามารถรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ และสร้างความเสียหายโดยตรงต่อดีเอ็นเอของเซลล์ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการก่อตัวของเนื้องอกชนิดร้ายแรง
แทนที่จะเลือกผลไม้ที่มี รูปลักษณ์แปลกตา ควรให้ความสำคัญกับผลไม้ที่มีรูปร่างตามธรรมชาติของสายพันธุ์ จะปลอดภัยต่อ ตับ และ ไต มากกว่า
3 ผลไม้ที่ถูกบ่มให้สุกด้วยสารเคมี

ไม่ควรกินผลไม้ที่อยู่นอกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่ไม่ได้แช่แข็ง (ภาพประกอบ)
เพื่อให้มีผลไม้วางขายนอกฤดูกาลหรือขนส่งไปไกล บางชนิดมักถูกบ่มให้สุกแบบเร่งรัดด้วยสารเคมีอุตสาหกรรม เช่น “ดินประสิว” หรือแคลเซียมคาร์ไบด์ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Food Science and Technology เตือนว่า เมื่อแคลเซียมคาร์ไบด์ทำปฏิกิริยา มักปนเปื้อนสิ่งเจือปนที่เป็นพิษอย่างสารหนูและฟอสฟอรัส
กระบวนการบ่มสุกแบบเร่งรัดนี้ไม่เพียงทำให้ธาตุเหล็กและวิตามินตามธรรมชาติลดลง แต่ยังสร้างภาระการขับสารพิษอย่างหนักให้กับไต การบริโภคผลไม้ที่มีสารเร่งสุกตกค้างและไม่ทราบแหล่งที่มา อาจทำให้เซลล์ถูกทำลาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาของเซลล์ร้ายแรงเมื่อเวลาผ่านไป
การเลือกผลไม้ตามฤดูกาลที่สุกตามธรรมชาติ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องร่างกายจากปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ ผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติมักมีรสชาติอร่อย มีกลิ่นหอม และปลอดภัยกว่า แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกอาจไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรก็ตาม

ข้อมูล soha





















