เอส กันตพงศ์ วันนี้ควงคุณแม่ และน้องชาย มาเปิดใจครั้งแรกหลังเจอนาทีชีวิตต้องรีบส่งตัวด่วนเข้าห้องไอซียู ผ่านรายการคุยแซ่บShow
หัวใจเต้นเร็วผิดปกติครั้งนี้ครั้งที่ 3 แล้วใช่มั้ย อยากให้ไล่ไทม์ไลน์ว่าแต่ละครั้งเกิดขึ้นช่วงเวลาไหนบ้าง หลังจากที่เราเคยล้มหมดสติที่พารากอนแล้วนอนหลับไปหลายเดือน ?เอ็ม : ถ้ารวมพารากอนด้วยเป็น 4 ครั้ง
หลังจากรักษาตัวได้มีการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจคืออะไร ?
เอส : ถ้าหัวใจเต้นผิดจังหวะตามที่คุณหมอตั้งไว้เครื่องจะทำงานเลย คุณหมอตั้งไว้ให้ที่ 200 รอบแรก ถ้าหัวใจเต้นถึง 200 เมื่อไหร่เครื่องจะทำงานทันที ซึ่งตามคลิปนั้นจะเป็นการทำงานครั้งแรกของเครื่อง ซึ่งไม่เคยทราบเลยว่าจะทำงานแรงขนาดนี้เจ็บถึงฟันล่างเลย คือพูดออกมาเสียงไม่ชัด
คุณหมอสรุปว่าอะไรในครั้งแรกที่เครื่องทำงาน ?
เอส : คุณหมอตรวจเช็คทุกอย่างเลยหาค่าทำงานผิดปกติ เช่น ทานอาหารอะไรยังไง ใช้ชีวิตยังไง นอนยังไง ไม่มีค่าผิดปกติอะไรเลย ทุกอย่างปกติหมดเลย คุณหมอจะสงสัยประเด็นกรรมพันธุ์
ตอนนั้นคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง ?
แม่ : ก็ตกใจไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ แต่มันก็นานนะเกือบปีถึงจะเกิดขึ้น
เอส : ความต่างคือรอบที่สองที่เกิดขึ้นความห่างเดือนเดียว รอบแรกที่เกิดขึ้นอยู่โรงพยาบาลแค่ 2 วัน แล้วก็มาทำรายการเราเลย
บูม : บูมอยู่ในเหตุการณ์คือพี่เอสจะมีอาการที่เหนื่อยแต่นั่งไม่ได้ ต้องเดิน แล้วร้อนเหงื่อแตก หายใจไม่ออกรู้สึกเหมือนจะเป็นลม เวียนหัว คลื่นไส้จะอ้วก ต้องดมยาดม เหมือนคนจะเป็นลมตลอดเวลา แอร์คือหนาวมากพี่เอสเปิดพัดลม ทุกคนเป็นห่วงมากในช่วงเวลาทำงานต้องขอพักองเลย
ครั้งที่ 2 ห่างกันเดือนเดียว ?เอส : ใช่ คุณหมอบอกว่ามันใกล้กันเกินไป พอมันเกิดการทำงานครั้งแรกคุณหมอบอกว่าลองดูมันจะนานขนาดไหน คุณหมอคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแต่นี่ไม่ถึงเดือนดันเกิดขึ้นอีกซึ่งมันใกล้เกินไปไม่ควรจะมี คุณหมอบอกว่าภายใน 3 เดือนไม่ควรเกิดขึ้นอีกแต่นี่มาเกิดขึ้นห่างกันเดือนเดียว
ครั้งแรกรักษาตัว 3 วัน ครั้งที่ 2 ที่เครื่องกระตุ้นหัวใจทำงานอีกคราวนี้รักษายังไงบ้าง ?
เอส : ครั้งที่ 2 นี่ 10 วัน ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในหมู่บ้านยืนอยู่เฉยๆยังไม่ทันได้ทำอะไรแล้วอยู่ๆเครื่องก็ทำงาน พอทำงานก็ไปโรงพยาบาลไปที่ ICU ก่อน คุณหมอก็ตรวจเช็คทุกอย่างไม่มีค่าการทำงานใดๆผิดปกติเลย เช็คประวัติด้วยทุกอย่างก็ไม่มีการทำงานอะไรผิดปกติ คุณหมอก็เลยส่งขึ้นไป CCU ผมหมดสติใน CCU จำอะไรไม่ได้
เอ็ม : วันนั้นคุณแม่อยู่ในเหตุการณ์พอดี วันนั้นผมตามไปหลังจากที่คุณแม่เล่าเครื่องเขาทำงานที่สนามแบดก่อน พอไปถึงโรงพยาบาลก็ไปเช็คที่แผนก ICU ตอนนั้นค่าร่างกายเขาปกติแล้ว พอขึ้นไปแผนก CCU ด้วยความที่คุณหมอเขาตั้งค่าเครื่องกระตุกหัวใจไว้ที่ 200 คือถ้าหัวใจเต้น 200 มันจะทำงานแต่ว่าตอนขึ้นไป CCU มันเต้นอยู่ที่ประมาณ 170-180 แล้วเครื่องไม่ทำงาน คุณหมอเลยต้องเอาอุปกรณ์เครื่องแปะหัวใจแล้วกระตุกมือเพื่อให้กระตุ้นหัวใจทำงาน ตอนนั้นร่างกายเขาเริ่มหมดสติแล้ว ตาเขาเริ่มเบลอ ตาเขาเริ่มลอย
เอส : ตอนนั้นคือหมดสติแล้วด้วย ผมไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าโดนแปะ 6 จุด รู้สึกตัวคือตอนที่เครื่องทำงานเพราะมันแรงกว่าเครื่องนี้ แม่บอกเอสเรื่องเสียงดังเลย
แม่ : คุณหมอเขาใช้ AED แบบแปะแล้วช็อกเลย เพราะเขาเริ่มหมดสติแล้ว ตาลอยแล้ว คุณหมอบอกว่าถ้าปล่อยอีกเดี๋ยวหมดสติอีกจะมีปัญหาเกี่ยวกับสมองคุณหมอเลยต้องช็อกเลย
คุณแม่กังวลมากขนาดไหน ?
แม่ : กังวลเพราะเห็นเขาตาลอย ตัวเขานิ่มเย็นไปหมด ตอนนั้นเขาก็พูดไม่รู้เรื่องแล้ว คุณหมอเขาก็ให้ยาแล้วก็พักผ่อนเราก็กังวลเพราะว่ากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีก
คุณแม่บอกว่าถ้าวันนั้นพี่เอสไม่ได้อยู่โรงพยาบาลก็อาจจะไม่รอด ?แม่ : ไม่น่าจะรอดเลย เขาหมดสติแน่ถ้าคุณหมอเขาไม่เอาเครื่องช็อกมาแปะ
เอส : ก็จะเหมือนเหตุการณ์รอบแรกเลยที่พารากอนกว่าจะถึงโรงพยาบาลอันตรายแบบนั้นเลย รอบสองโชคดีที่อยู่ CCU
แม่ : เราคิดว่าเพราะเครื่องทำไปครั้งแรกหัวใจเต้น 200 เครื่องมันช็อกไปแล้ว ท่ีนี้พอครั้งที่ 2 กำลังจะเกิดขึ้นอีกคิดว่ามันถี่แล้วร่างกายมันอ่อนแอเกินไป ไม่ไหวแล้วเขาจะหมดสติแล้ว เครื่องมันก็เลยไม่ทำงานเพราะเครื่องไม่ขึ้น 200 ซักที
เครื่องนี้คุณหมอได้บอกมั้ยว่ามันสามารถช่วยเรากระตุ้นได้กี่ครั้ง ?
เอ็ม : จะเป็นเปอร์เซ็นต์ ถ้าเครื่องนี้ไม่ทำงานเลย จากที่คุณหมอบอกจะถอยหลังเดือนละ 1% เหมือนแบตเตอรี่มือถือซึ่งไม่สามารถชาร์ตได้ แต่พอเครื่องกระตุกเขาทำงานไปประมาณ 3-4 ครั้งแล้วมันก็จะลงครั้งละประมาณ 4% แบตเตอรี่จะถอยหลังลงเรื่อยๆ
เอส : ยิ่งมันทำบ่อยหัวใจจะยิ่งเสียหาย ไม่ดี
คุณแม่และน้องชายที่เห็นพี่เอสถูกปั๊มขึ้นมาหัวใจของเรามันเป็นยังไง ?
แม่ : ตอนแรกไม่ทราบว่าเขาทำอะไรเพราะเขาเพิ่งเข็นขึ้นมาแป๊ปเดียวเอง ซักพักก็เห็นพยาบาลวิ่งเข้ามาแล้วร้องดังมากแล้วก็วิ่งเข้าไปว่าเป็นอะไร คุณหมอก็บอกว่าหมดสติ ใจไม่ดีแล้ว ขนาดตอนนี้อยู่โรงพยาบาลนะแล้วถ้าไปอยู่ข้างนอกจะเป็นยังไง เราก็เหมือนกังวลไปหมดเลย ไปไหนก็ต้องตามตลอดเวลา
พี่เอสอาการกำเริบ 3 ครั้งแบบนี้ คุณแม่ต้องสภาวะจิตใจต้องแข็งแกร่งขนาดไหน ?
แม่ : อีกใจนึงอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อีกใจนึงก็อย่าให้มันเกิดไวนักเลย เราก็รักษาให้ดีที่สุด ถ้าเรารักษาดีที่สุดแล้วมันยังเกิดขึ้นก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องทำใจตามนั้น แต่เราเชื่อในมือคุณหมอว่าคุณหมอเก่ง พอทำตรงนี้ไป 80-90% คุณหมอบอกว่าโอเค น่าจะช่วยได้เยอะเลย ทำจี้ไฟฟ้าไป
มีโมเมนต์ไหนที่คุณแม่รู้สึกเห็นลูกชายเราแล้วเรากลัวที่สุด ?แม่ : ครั้งแรกที่หมดสติที่พารากอนอันนั้นกลัวที่สุด พอมาครั้งที่ 2 ที่ 3 เราเหมือนว่าเราตั้งหลักเพราะเห็นว่ามีเครื่องก็ไว้ใจระดับนึง แต่พอมันเป็นถี่ๆก็เริ่มไม่ไว้ใจแล้ว ก็เลยต้องทำจี้ไฟฟ้า ตอนนี้ที่ห่วงที่สุดคือจี้ไปแล้วเครื่องมันจะช็อกอีกแค่นั้นเอง
เอ็ม : มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก ตั้งแต่เกิดเหตการณ์ครั้งแรกคุณแม่โทรมาบอกผม ผมอยู่บ้าน ผมฟังครั้งแรกพี่เอสหัวใจวายตอนนี้ยังปั๊มหัวใจไม่ขึ้นไม่มีสติ ผมบอกว่าอะไรนะครับแม่พูดอีกทีนึง มันได้ยินครบทุกอย่างแต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สมองมันไม่สั่งการ ผมเป็นห่วงคุณแม่ว่าเป็นเหตุการณ์ที่หนักที่สุด พี่ชายผมอายุไม่ได้เยอะ แล้วเขาก็เป็นคนดูแลสุขภาพดีมากๆถ้าเทียบกับผม พอมีเครื่องก็เบาใจในระดับนึงแต่ว่ามันก็จะมีเหตุการณ์อะไรที่เหตการณ์เขาเป็นอย่างนี้ๆตอนแรกคิดว่าเรื่องมันจะประมาณนี้แต่ก็ไปต่อเรื่อย ก็เลยวางใจไม่ได การรักษาต้องเปลี่ยนวิธีการรักษาไปเรื่อยๆ ครอบครัวต้องรับมือเยอะมาก เห็นว่าต้องเปลี่ยนการรักาากะทันหัน ?
เอส : ข้อมูลทางการแพทย์เขาเรียกว่าว่า Cardioinsight มันเป็นศัพท์ทางการแพทย์ คือไปหาว่าจุดบกพร่องของหัวใจอยู่ตรงไหน
เอ็ม : เท่าที่คุณหมอเขาถ่ายทอดมาเขาบอกว่ามันจะมีจุดแปะๆไว้เหมือนเป็นการมาร์กจุดเพื่อให้เหมือนทำเป็นภาพสามมิติขึ้นมา พอทำแล้วหัวใจพี่ชายผมเขาจะขึ้นมาเป็นรูปสามมิติ แล้วคุณหมอเขาจะมองเห็นจุดได้ง่ายว่าจุดไหนมีปัญหาไม่มีปัญหาตามสีของรูปหัวใจ มันก็ต้องเอามาประกอบกับการทำ CT Scan เพื่อที่เอาสองตัวนี้มาประกอบกันว่าจุดไหนมีปัญหาเพื่อให้มันใกล้เคียงจริงที่สุดเพราะว่าตอนที่จะทำการผ่าตัดจะได้พร้อมและใกล้เคียงจริงที่สุด อาจจะเป็นอะไรที่ละเอียดนิดนึง ก่อนหน้านี้มีการทำ MRI เขามีแผลที่หัวใจ 6 จุด ซึ่งอันนี้เป้นความรู้ใหม่ที่มันเกิดขึ้นระหว่างทางเรื่อยๆ ตอนแรกก็สับสนกันอยู่ว่าทำไมมันถึงเป็นเยอะและรุนแรงขนาดนี้
เอส : ข้อมูลเหล่านี้ผมไปเสิร์ชไปหามาด้วยนะว่าทำยังไง แล้วคุณหหมอเขาก็มีให้ดูข้อมูลว่าไซด์เอฟเฟกต์จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นเลยนะแค่คุณหมอเขาแจงให้ฟังมี 7 ข้อ ข้อ 1-6 จำไม่ได้เท่าไหร่ จำข้อ 7 ได้อย่างเดียวคืออาจจะเสียชีวิตระหว่างทำ ก็เลยถามผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือแล้วก็ถามคุณหมอที่รู้จักหลายๆคนช่วยอ่านอันนี้ให้ผมหน่อย ข้อ 7 อัตราการเสี่ยงเกิดขึ้นได้มั้ย หลายท่านตอบตรงกันว่าเกิดขึ้นได้แต่ 0.111% น้อยมาก ถ้าเทียบแล้วควรทำดีกว่า ข้อ 7 เกิดขึ้นได้ยาก
ถึงตอนนี้ก็ตัดสินใจว่าต้องรักษาด้วยวิธีนี้ ?เอส : ทำไปแล้วตอนอยู่โรงพยาบาลรอบล่าสุดนี้เลย
เปลี่ยนวิธีการรักษาแล้ว พี่เอสและครอบครัวมีวิธีการที่จะต้องดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมมั้ย จากการรักษาครั้งนี้ ?
เอส : ถ้าในช่วงแรกคุณหมอเขาจะแจ้งไว้อยู่แล้วว่ามันจะมีผลข้างเคียงอะไรบ้างแต่ก็ไม่ได้เครียดแต่มันมีจริงคือ เบลอๆ พูดเสียงไม่ชัด มึน ง่วงไวขึ้น แต่คุณหมอบอกว่าไม่ได้มีอะไรอันตราย แต่กลับมาเป็นปกติหลังจากทำ 3-4 วัน
เอ็ม : ขออธิบายเพิ่ม พอทำตัว Cardioinsight Mapping และทำ CT Scan ด้วยความที่เขามีแผลที่หัวใจ 6 จุด แต่จุดที่เป็นปัญหาจะเป็นช่องล่างหัวใจที่เกิดจากกรรมพันธุ์เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาต้องเช็คคลื่นนำไฟฟ้าหัวใจเขาแล้วก็ใช้คลื่นวิทยุจี้ออก อาการที่เขาเบลอและเจ็บคอเพราะต้องใช้อุปกรณหลายอย่างมากทั้งสอดไปที่ขา ใต้ลิ้นปี่ วางยาสลบด้วยก็จะมีทำให้เบลอ
แผลที่หัวใจทั้ง 6 จุดตอนนี้ได้รับการรักษา ?
เอ็ม : ตอนแรกเข้าใจว่าควรจะต้องรักษาทั้ง 6 จุดแต่ว่าการที่ทำไมถึงต้องทำหลายอย่างทั้ง MRI,Cardioinsight,CT Scan เพราะว่าสุดท้ายแล้วพอสอดเข้าไปดูจริงๆมันอาจจะเป็นอีกแบบนึง พอสอดเข้าไปคุณหมอจะต้องใช้ตัวกระตุ้นหัวใจให้หัวใจเต้นทำงานผิดปกติเหมือนที่เขามีปัญหาจริงๆเพื่อจะได้ดูจุดนี้ๆมันมีปัญหาเหมือนที่ดูข้างนอกมั้ย พอลองกระตุ้นดูแล้วเขามีปัญหาแค่จุดเดียวซึ่งเป็นทั้งด้านในและด้านนอกหัวใจก็เลยทำแค่จุดเดียวจุดอื่นก็เหมือนกับแผลภายนอกที่มันหายไปแล้ว
เอส : อีกอันที่คุณหมอบอกคืออาจจะมีแผลใหม่เกิดขึ้นได้อีกซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ด้วยว่าแผล 6 จุดนี้หายไปแล้ว 5 เหลือ 1 แล้วจะมีจุดที่ 7 ที่ 8 ขึ้นมาหรือเปล่า อันนี้คาดเดาไม่ได้
แผลที่เกิดขึ้นที่หัวใจมันเป็นเพราะอะไร ?
เอส : คุณหมอให้น้ำหนักไปที่กรรมพันธุ์ คุยกับคุณหมอว่ามีการใช้ชีวิตแบบไหนที่ไปกระตุ้นให้กรรมพันธุ์ทำงานหรือเปล่า ณ ตอนนี้คุณหมอบอกว่าไม่มี มันอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
ได้คุยกับคุณหมอมั้ยว่าการรักษาโรคที่พี่เอสเป็นมันมีโอกาสที่จะรักษาหายมั้ย ?เอ็ม : ด้วยความที่อาการเขาเกิดจากพันธุกรรม การจี้หัวใจก็เหมือนกับการรักษาที่ปลายเหตุส่วนหนึ่งเป็นวิธีการรักาษาที่ดีที่สุด แต่ว่าการที่เขาเป็นแผลที่หัวใจเท่าที่ผมฟังจากคุณหมอ พอพันธุกรรมมันทำงานผิดปกติอะไรบางอย่างหัวใจเขาดันไปสร้างอะไรขึ้นมาจนมันกลายเป็นเหมือนแผลเพราะฉะนั้นมันจะไปขวางการไหลเวียนของหัวใจหรือคลื่นไฟฟ้าทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ อย่างของคุณแม่เขามีอาการเต้นช้าแต่ว่าผิดจังหวะเหมือนกันของพี่ชายเต้นเร็ว หลักๆก็คือต้องดูแลโดยรวมอย่างที่พี่ชายบอก เรื่องความเครียด อย่าออกกำลังกายหนักเกินไป พักผ่อนให้เป็นเวลา เพราะว่าพันธุกรรมถ้าจะรักษาได้ต้องรอเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ
คนที่เป็นแบบพี่เอสในประเทศของเรามีแค่ 1 คน ?
เอ็ม : เท่าที่ทราบก็คือ ณ ตอนนี้คุณหมอที่รักษาพี่เอสบอกว่าในไทยมีประมาณ 2 คน อายุน้อยกว่าพี่เอสไม่ถึง 20 ปี แล้วก็เป็นพี่ชายผมที่มีอาการพันธุกรรมนี้เหมือนกันเลย
เอส : อันนี้ตามข้อมูลของหมอที่รักษาที่เขาแจ้ง ทั่วประเทศอาจจะมีที่เราไม่ทราบ ที่ไม่ได้ออกข่าวก็ได้
แม่ : แต่เป็นเคสที่คุณหมอรักษา 2 คนนี้
พอทราบว่าเป็นพันธุกรรมคุณแม่และครอบครัวได้ไปตรวจมั้ย ?
แม่ : ตรวจก็เจอตัวเดียวกันเหมือนกัน
เอ็ม : ยังเลยครับ
คุณแม่กับพี่เอ็มเป็นห่วงอะไรพี่เอสมากที่สุด ?
แม่ : เรื่องเครียด เวลาเขาทำอะไรเขาทำจริงจัง คิดเยอะแล้วเขาจะวางแผนเรื่องงานก็ห่วงเขาแค่เรื่องนั้น