เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2568 ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี อ.1662/2566 ระหว่างนายณพ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกฤษณ์ ณรงค์เดช บริษัทซีบีเอ็นพี จำกัด เเละกรรมการทำการบริษัท เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ คำฟ้องสรุปว่า คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช มารดาของโจทก์ขณะมีชีวิตอยู่ได้มีการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ กิ่งอำเภอบางเสาธง จ.สมุทรปราการ ออกให้บุคคลภายนอกเช่า รวมถึงได้ให้บริษัท โทลล์ โลจิสติก จำกัด เช่า โดยได้รับค่าเช่า

หลังจากคุณหญิงพรทิพย์ ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2559 ต่อมา จำเลยที่ 1 โจทก์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินผืนดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำบัญชีทรัพย์มรดกและไม่นำเงินส่วนแบ่งค่าเช่าและค่าเช่าช่วงมอบให้โจทก์ตามสิทธิทั้งในฐานะทายาทและในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินข้างต้น โดยโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นแต่จำเลยที่1 เพิกเฉย ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 เจตนาเบียดบังเอาค่าเช่าและค่าเช่าช่วงที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นของตนและบุคคลอื่นโดยทุจริตโดยโจทก์มิได้ยินยอม ทั้งนี้จำเลยที่2-3 ต่างก็ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ยังสมคบกับจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบเงินตามสิทธิที่โจทก์มีสิทธิได้รับให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์คือเงินค่าเช่า โจทก์รวมเเล้วหลายครั้งเป็นเงินกว่า 35 ล้านบาท เเเละขอให้นับโทษต่อจากคดีในศาลนี้ที่เคยพิพากศาลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญาไว้ 12 เดือน โดยวันนี้ศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเข้าฟังคำพิพากษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกนายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลย ได้รับการปล่อยชั่วคราวในวงเงิน 400,000 บาท นายณพ โจทก์กล่าวภายหลังมีคำพิพากษาว่า คดีนี้ตนยื่นฟ้องพี่ชายของตนอย่างนายกฤษณ์ เนื่องจากมีที่ดินแปลงหนึ่งเป็นทรัพย์สินของมารดา และมีการนำที่ดินไปให้เช่าโดยไม่มีการบอกกล่าวกับตนเอง อีกทั้งไม่เคยแบ่งรายได้จากการเช่าที่ดินที่ตนมีส่วนอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ตนเคยยื่นฟ้องนายกฤษณ์ ในศาลแขวงกรุงเทพใต้ไปแล้ว 1 คดีจากมูลเหตุลักษณะเดียวกัน ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 12 เดือนโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์ นายณพกล่าวต่อว่า คดีนี้เป็นคดีที่ 2 ที่ตนยื่นฟ้องพี่ชายตนเองในคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งมูลค่าสูงกว่าคดีแรก ในวันนี้ศาลมีคำสั่งพิพากษาจำคุก 44 เดือน ไม่รอลงอาญา และเหตุผลที่ศาลสั่งจำคุกไม่รอลงอาญาเนื่องจากนายกฤษณ์ ยังมีพฤติการณ์ในลักษณะเดิมและหลักฐานค่อนข้างชัดเจน คดีนี้มีการกระทำผิด 11 กรรม โดยศาลลงโทษจำคุกกรรมละ 4 เดือน

นายณพ กล่าวอีกว่า ตนมีเรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องมรดกตั้งแต่ปี 2561 ภายหลังจากมารดาของตนเองซึ่งเป็นเจ้าของมรดกเสียชีวิต ซึ่งมรดกส่วนนี้ยังไม่มีการจัดการแบ่งให้เรียบร้อยทั้ง ๆ ที่ มารดาของตนเองได้ระบุรายละเอียดไว้แล้วอย่างชัดเจน และไม่มีการจัดแบ่งมรดกไว้ตามเจตนารมณ์ของมารดาตนเอง ถึบแม้ว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้ตนเข้าเป็นผู้จัดการมรดกร่วม ก็ไม่สามารถจัดการแบ่งมรดกได้ เพราะไม่ได้รับความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สิน นายณพ กล่าวอีกว่า ตนยืนยันว่าที่ผ่านมามีการพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับเรื่องมรดกกับนายกฤษณ์ และผู้ใหญ่ที่ตนเองนับถือหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สามารถพูดคุยกันได้ เพราะจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการและข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการมรดกอย่างไร นายณพ กล่าวว่า หลังจากนี้ก็ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่างการที่มารดาของตนเองระบุไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนว่า ทรัพย์สินบางส่วนมอบให้เป็นของลูกของตน ในส่วนเรื่องที่มีสื่อข่าวว่ามีการเสนอเงิน 100 ล้านบาทเกี่ยวกับเรื่องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์กว่า 3 พันล้านนั้น เมื่อ 3 ปีที่แล้วตนได้ร้องเรียนอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแห่งหนึ่งต่อ คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) มาจากกระบวนพิจารณาที่ไม่ตรงไปตรงมา และก่อนหน้านี้ก็มีหลักฐานว่า อธิบดีผู้พิพากษาดังกล่าว ได้มีทางเดินเข้าออกบ้านพี่กับน้องซึ่งเป็นคู่ความของตนจำนวนหลายครั้ง ซึ่งต่อมาตนและทนายความก็รู้สึกว่ากระบวนพิจารณาไม่ได้รับความเป็นธรรม

อย่างเช่นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกินส่วน มีการอายัดหุ้นมากกว่าที่โจทก์ฟ้องซึ่งไม่มีข้อกฎหมายใดๆ รองรับก็ให้ และมีการเปลี่ยนตัวรองอธิบดีผู้พิพากษาที่โดนตนร้องคนดังกล่าวมาเป็นเจ้าของสำนวนตนเกือบทุกคดี จนเราร้องเรียนคณะกรรมการตุลาการไป จึงมีการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา จากนั้นจะมีการพิพากษาให้ตนชนะคดี ขณะนี้นานมากกว่า2 ปีแล้วแต่ปัจจุบันเงินปันผลกว่า 3.4 พันบ้านบาท ก็ยังถูกอายัดอยู่ คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทำความเดือดร้อนให้กับตนอย่างมหาศาล เนื่องจากตนต้องดูแลธุรกิจและดูแลลูกน้องและทำให้โอกาสทำธุรกิจเสียหาย เป็นจำนวนมหาศาลมาก

คดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่คำสั่งอายัดกลับมาจากศาลชั้นต้น ซึ่งก็มีความสับสนว่าคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นอำนาจของศาลไหนกันแน่ ซึ่งทีมกฎหมายของตนกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ส่วนผลการร้องเรียน ก.ต.ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นถ้าเป็นเรื่องของตนจริงตนก็ต้องขอขอบคุณ ก.ต. ซึ่งก่อทราบจากทางหน้าสื่อว่า ก.ต.มีมติตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง แต่เรื่องข้อเท็จจริงนั้นตนไม่ทราบ ส่วนเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวน 100 กิโลกรัม กรือ 100 ล้านบาทนั้น พอได้ฟังข่าวก็ตกใจเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เคยทราบมาก่อน

ซึ่งมาจากผลการประชุมคณะกรรมการตุลาการครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ก็คงต้องรอ ส่วนเรื่องเงิน 100 ล้านบาทของใคร อยากเรียนว่า ตนเป็นผู้ร้อง เป็นผู้ได้รับความเสียหาย ตอนนี้อยากทราบว่าเงิน 100 ล้านบาทมาจากไหน มาจากใครมาจากบริษัทมหาชนหรือไม่ หรือมาจากกองมรดก เรื่องคดีนี้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 คนเท่านั้นคือตน พี่ชายตน และน้องชายตน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนให้แน่ๆ ก็คงต้องไปถาม2 คนนั้น เรื่องนี้ตนแค่ทราบจากสื่อ ที่ร้องเรียนไปเพียงประเด็นว่าอธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านและประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี ที่ตนเชื่อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องที่อธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านตนมีหลักฐานชัดเจน ซึ่งได้ส่งประกอบคำร้องไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เข้าไปให้ข้อมูลทางคณะกรรมการตุลาการหลายครั้ง

ด้าน นายพิชา ป้อมค่าย ทนายความส่วนตัวของนายกฤษณ์ เดินทางออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ พร้อมกับนายกรณ์ ณรงค์เดช ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจนายกฤษณ์ พี่ชาย นายพิชา กล่าวว่า คดีในวันนี้ความจริงเป็นเรื่องในครอบครัวและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ให้บริษัทเช่าช่วง แล้วมีเงินค่าเช้าเข้ามาสู่บัญชีของบริษัท และเข้าสู่กองมรดก ซึ่งไม่ได้จ่ายเข้าบัญชีของนายกฤษณ์ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องไปสู้กันในรายละเอียดที่ศาลสูงต่อไป สำหรับเรื่องที่อีกฝ่ายไปเรื่องกรรมการตุลาการ หรือ ก.ต. พวกเราไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เลย

เมื่อถามถึงเรื่องคลิปที่นายณพ ระบุว่ามีอธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านนั้น นายกรณ์ กล่าวว่า เรื่องคลิปดังกล่าวตนได้ยินมานานแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้แน่นอน และไม่เคยเห็นคลิปดังกล่าวด้วย ขอยืนยันว่าตนไม่รู้จักทั้งอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาที่ปรากฎในข่าวแน่นอน

นายพิชัย กล่าวเสริมว่า ในส่วนของประเด็นเงิน 100 ล้าน ตนไม่แน่ใจว่ามีการเข้าใจผิดหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องเรื่องบริษัท วินเอเนอร์จี้ เราจึงได้ใช้สิทธิตามกฎหมายขอให้ศาลมีการคุ้มครองต่อ และศาลพิจารณาแล้วว่าคำขอของเรามีมูลเพียงพอที่จะให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต่อไปศาลให้เราวางเงิน 100 ล้านเป็นการวางเงินประกันความเสียหายต่อศาล และเป็นเรื่องที่เราปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่ได้นำไปให้บุคคลอื่นอย่างแน่นอน ซึ่งเรามีหลักฐานที่สามารถเช็กได้อยู่ในระบบ โดยเป็นคำสั่งศาลชั้นต้นที่คุ้มคริงในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากตอนนั้นสำนวนยังไม่ส่งไปศาลอุทธร