หลังจากจบพิธีสวดพระอภิธรรมศพ แม่สีดา พัววิมล ที่ ศาลา 7 วัดลาดพร้าว ในคืนที่ 2 ทางด้าน 3 นักแสดงนำจากภาพยนตร์ “วิมานหนาม” เจฟ ซาเตอร์ หรือ เจฟ วรกมล, อิงฟ้า วราหะ และ เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย ได้เปิดใจทั้งน้ำตาถึงความผูกพันเมื่อครั้งได้ทำงานร่วมกับ แม่สีดา ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
โดย อิงฟ้า เผยด้วยความรู้สึกจุกอกว่า “ใจหายค่ะ ก่อนที่แม่จะเสียก็ได้มีการนัดเจอกัน แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันแบบนี้ ตอนที่ทำงานด้วยกันแม่จะเห็นฟ้าใช้ของชิ้นหนึ่งเป็นประจำซึ่งมันมีราคาสูง แต่แม่ก็จะพูดตลอดว่าเดี๋ยวแม่ซื้อให้นะ ตอบแทนที่เราพาเขาไปกินข้าวและดูแลเขาในกอง แต่เราก็บอกแม่ว่าเราไม่อยากได้ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนั้นแม่ไม่ได้มีรายรับเยอะ”
“จากนั้นก็มีการนัดกันอีก แม่บอกว่าเจอกันรอบหน้าเดี๋ยวแม่เอาของมาให้นะ แม่เตรียมไว้แล้วแต่ว่ามันตกแตก เรารู้อยู่แล้วว่าของชิ้นนั้นต่อให้มันตกก็ไม่มีทางแตกแน่นอน คิดว่าเขาคงไม่ได้มีปัจจัยพอ แต่ทุกครั้งที่เขาเจอเราเขาก็พูดว่าเขาจะซื้อให้นะ จนครั้งล่าสุดที่เรานัดกันเป็นวันที่ 16 มี.ค.68 เรามีงานอยู่ที่ยูเนียนมอลล์ ซึ่งใกล้ที่พักเขา เราก็เลยบอกแม่ว่า แม่เปลี่ยนจากของขวัญชิ้นนั้นเป็นมะม่วงแทนก็ได้จะได้มาเจอกัน คือเรารู้ว่าเขาไม่กล้ามาเพราะเขาไม่ได้ซื้อของชิ้นนั้น เราเห็นถึงความตั้งใจที่แม่อยากที่จะซื้อให้เราจริงๆ ซึ่งของชิ้นนั้นคือน้ำหอม”
“สำหรับฟ้าความรู้สึกคือแค่เสียดายว่าวันนั้นเราน่าจะได้เจอกัน เพราะถัดมาไม่กี่วันก็มาทราบว่าแม่เสียชีวิตแล้ว สิ่งที่เราอยากได้คืออยากได้เจอแม่ อยากไปทานข้าวด้วยกัน เพราะเรารู้ว่าแม่อยู่คนเดียวคงเหงา ตอนที่ไปถ่ายงานโฆษณาด้วยกัน เราก็เตรียมของไปให้แม่เป็นเสื้อผ้าและสร้อยข้อมือ อยากให้เขาติดตัวไว้ เราก็บอกเขาตรงๆ ว่าถ้าเกิดวันนึงไม่มีงานบอกหนูได้นะ ทองอันนี้ถ้าจำเป็นก็ขายได้เลย แม่ก็ร้องไห้ ซึ่งสร้อยข้อมือเส้นนั้นค่อนข้างเล็ก คิดว่าน่าจะส่งต่อให้กับทางหลานสาวของแม่สีดาค่ะ”
“หลังจากถ่ายโฆษณาเสร็จเราก็ไปรับรางวัลด้วยกัน แล้วก็ถือโอกาสพาแม่ไปทานซูชิ แต่แม่ทานไม่เก่ง เราก็เริ่มสังเกตว่าแม่มีอาการไอมากกว่าตอนที่อยู่ในกอง เราก็จะถามแม่ว่า เดี๋ยวนี้ยังสูบเยอะอยู่ไหม แม่ก็ยอมรับว่าเขาค่อนข้างเครียด”.
ถามว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าผูกพันกับแม่สีดามากขนาดนี้ อิงฟ้า บอกว่า “หนูรู้ชีวิตเขาเยอะด้วย แม่จะชอบเล่าให้ฟัง ทุกครั้งที่เจอกันก็จะมีความเอ็นดูแม่ตลอด แม่เคยเล่าให้ผู้จัดการของเราฟังด้วยว่า แม่ส่งไลน์ให้ป่อเต็กตึ๊งทุกวัน ถ้าครั้งไหนแม่หายไปสองวันให้ไปตามที่ห้องด้วยนะ แสดงว่าแม่ไม่อยู่แล้ว เขาก็ยังพูดเล่นแซวกันอยู่ ซึ่งล่าสุดที่ส่งให้ก็คือวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา”
“ล่าสุดรางวัลที่แม่ได้รับ เรามีโอกาสได้รับด้วยกัน แม่ปลื้มมาก กรี๊ดใหญ่เลย ที่แม่พูดว่าตั้งแต่แสดงมานี่เป็นรางวัลแรกในชีวิต แค่นี้ก็ตายตาหลับแล้ว ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเป็นคำลา คิดว่าเขาคงดีใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะกะทันหันแบบนี้”
ด้าน เก่ง หฤษฎ์ กล่าวว่า “ผมเหมือนกับทุกคนเลย พอทราบข่าวก็ยังทำตัวไม่ถูก ในกองเราผูกพันกับแม่มาก แม่น่ารักกับทุกคน ชวนคุย ชวนเล่น และเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังตลอด เคยคุยติดตลกกันด้วยว่าถ้าหนังออกไปเราทุกคนน่าจะไปรับรางวัลพร้อมกัน แต่กลายเป็นว่าผมยังไม่ได้ไปงานกับแม่เลย เสียใจครับ ส่วนสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากแม่สีดา คือการสู้ไม่ถอย ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร แม่ยังยิ้มสู้กับปัญหาได้ตลอด ถึงลึกๆ ผมไม่รู้ว่าแม่แบกความรู้สึกอะไรไว้ แต่รู้สึกว่าแม่สู้มามากๆ”.
เจฟ ซาเตอร์ เผยด้วยน้ำเสียงเครือว่า “จริงๆ ผมก็ยังช็อกอยู่ครับ ตอนอยู่ในกองถ่ายหนังวิมานหนาม ผมคุยกับแม่บ่อยมาก เพราะเข้าฉากด้วยกันเยอะ อย่างซีนในวัด แม่ก็เล่าช่วงที่ลูกแม่บวชให้ฟัง แล้วมันก็มีซีนที่แม่ต้องตัดผมเรา พอย้อนกลับไปก็รู้สึกว่า ผมอยากฟังเรื่องที่แม่เล่ามากกว่านี้ สำหรับผม แม่มีความเป็นเด็กตลกตลอดไม่แมตช์กับอายุแม่เลย แม่ชอบเล่นมุกให้เราขำ อีกเรื่องที่จำได้คือวันแรกที่ผมเจอแม่ สไตล์เด็กวัยรุ่นก็ยกมือไหว้แบบอะไรไม่รู้ แม่ก็บอกว่า เดี๋ยวเรามาเรียนการไหว้กันใหม่นะ ไหว้แบบนี้นะ เวลาเจอผู้ใหญ่เขาจะได้ไม่มองว่าเราไม่มีมารยาท ตอนนี้ผมตั้งใจทุกครั้งเวลาที่ไหว้ผู้อื่น แล้วแม่จะเล่าตอนที่เขาเป็นนักแสดงว่ามันยากลำบากขนาดไหน วันนี้เรามีโอกาสแล้วก็ต้องให้คุณค่าในสิ่งที่มีทุกวัน คำสอนแม่คงติดตัวเราตลอดไป เพราะแม่ไม่ได้สอนแค่เรื่องการแสดง แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิตด้วย”
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากพูดกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย เก่ง บอกว่า “อยากให้แม่มีความสุขในการเดินทาง ไม่ต้องเหงาแล้ว และให้แม่มีความสุขกับพี่อ๊อฟ(อภิชาติ)
เจฟ เผยว่า “แม่ชอบเล่าเรื่องลูกชายให้ฟัง ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจอกันล่าสุดก็ยังเล่าเรื่องลูกชายให้ฟังตลอด คิดว่าแม่คงได้อยู่กับลูกชายที่แม่คิดถึง ผมอยากส่งแม่ด้วยรอยยิ้มมากกว่า ไม่อยากเศร้า ขอให้แม่พักผ่อนอย่างสงบ สิ่งที่แม่สอนมาก็จะจำไว้ตลอด”
ด้าน อิงฟ้า สะอื้นฝากความในใจถึงแม่สีดาว่า “วันนี้คงถึงเวลาของแม่แล้ว ขอให้การเดินทางของแม่ในครั้งนี้ได้เจอกับพี่อ๊อฟ ได้เจอกับคนที่เขารักจะได้ไม่เหงาแล้ว แค่อยากจะบอกว่าเสียดายที่หนูมาช้าไปนิดเดียว ไม่เช่นนั้นเราก็คงจะได้ทานข้าวอีกสักมื้อหนึ่ง”