นายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้เดินทางมาในฐานะมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับคนสอนธรรมเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา หลังจากที่เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมาได้แจ้งไปแล้วในข้อหาหมิ่นคณะสงฆ์ ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ , หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอม และในวันนี้มาแจ้งเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา ที่เข้าข่ายการกระทำความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ทางสมเด็จพระสังฆราชและมหาเถระสมาคมมีมติเรียกพระสงฆ์หนึ่งรูปมาแนะนำตักเตือน ซึ่งพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้มีการแก้ไขปรับปรุงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเรื่องก็ได้จบลงแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่ปรากฏว่าคนสอนธรรมได้กล่าวในไลฟ์สดช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ถึงเรื่องนี้ว่า “การใช้อำนาจหน้าที่ของมหาเถระสมาคมไม่ใช่การใช้อำนาจด้วยธรรม และไม่ได้ทำตามพระธรรมพระวินัย”
โดยการดำเนินการในเรื่องของการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาเห็นแล้วว่าคนสอนธรรมกล่าวจ้าบจ้วงด้อยค่ามหาเถระสมาคม คณะกรรมการ รวมถึงกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมีการตักเตือนพระรูปดังกล่าว แต่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกลับเพิกเฉย ปล่อยให้สาวกของคนสอนธรรมมาก่นด่าด้อยค่าพระ
ส่วนประเด็นที่คนสอนธรรมมีการด้อยค่าการสวดมนต์ข้ามปี รวมถึงมีการด้อยค่าวันตรุษจีนนั้น ตนอยากถามกระทรวงวัฒนธรรมว่าพวกท่านทำอะไรอยู่ ปล่อยให้คนสอนธรรมเพียงคนเดียวด้อยค่าวัฒนธรรมคนไทย ทั้งไทยพุทธ ไทยพราหมณ์ ไทยจีนอยากถามไปถึงกระทรวงศึกษาธิการว่า ปล่อยให้บุคคลดังกล่าวเข้าไปอบรมในโรงเรียนได้อย่างไร ใช่ครับ เวลาอบรมพูดดี แต่เวลาไปไลฟ์สดพูดกูพูดมึง แล้วเด็กมันติดตามไปดูในไลฟ์ ก็เอาตามพูดกูพูดมึง สอนให้ลูกพูดกูพูดมึงกับพ่อแม่มันใช้ได้ที่ไหน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้คนตื่นธรรมได้มีการออกมาบอกว่าพร้อมที่จะคุยแก้ไขหากมีการตักเตือน ไม่จำเป็นต้องแจ้งความ มองว่าอย่างไร ทนายอนันต์ชัย ระบุว่า สิ่งที่คนสอนธรรมพูดไปเรื่อย พูดหาเรื่องนั้น ตนอยากให้คนสอนธรรมได้รับบทเรียน และไปว่าในกระบวนการ หลังจากนั้นจะไปปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยน ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เขาก็ต้องได้รับบทเรียนในสิ่งที่ทำ
ทั้งนี้ยืนยันว่าทางมูลนิธิไม่ได้มีความขัดแย้งกับคนสอนธรรมแต่อย่างใด เพียงแต่ทำตามหน้าที่พุทธศาสนิกชน และไม่หนักใจกับคนที่ด่าว่ากล่าว ตนให้อภัย เพราะเขาไม่รู้ความจริง