จากกรณี เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.62 มูลนิธิกระจกเงา ออกประกาศแจ้งว่า ด.ช.เทอญพงษ์ ครอบบัวบาน หรือน้องอัษ อายุ 13 ปี ได้หายออกจากบริเวณหมู่บ้านทรัพย์จรัญวิลล่า ซอยแก้วเงิน 2 (จรัญสนิทวงศ์ 35) แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กทม. เมื่อวันที่ 16 พ.ย.62 คนหาย สูงประมาณ 150 ซม. น้ำหนัก 62 กก. ผิวสองสี ลักษณะผมสั้นทรงนักเรียน ผมสีดำ การแต่งกายสวมเสื้อกีฬาแขนสั้นสีดำแดง สวมกางเกงขาสั้นสีฟ้า สวมรองเท้าแตะสีดำ มีตำหนิปานดำที่ติ่งหูด้านขวา และมีติ่งเนื้อที่หูด้านซ้าย คนหายพัฒนาการทางสมองช้า

ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 23 ม.ค.67 ที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.) เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ดส. โดย พ.ต.อ.ศานติ กรเกษม ผกก.ดส. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.มโรดม์ ขวัญเมือง รองผกก.ดส. และ พ.ต.ต.(หญิง) ชาดา เสสะเวช สว.กก.ดส. ติดตามเด็กหายได้พาน้องอัษ ที่หายออกจากบ้านกลับคืนสู่ครอบครัว

น.ส.นรีรัตน มณีด่านจาก อายุ 38 ปี แม่ของน้องอัษ กล่าวว่า ช่วงบ่ายวันที่ 16 พ.ย.62 ลูกออกไปซื้อขนม ต่อมาประมาณ 1 ชม. ลูกยังไม่กลับบ้าน จึงเริ่มออกตามหา และไปแจ้งความไว้ 2 โรงพัก คือ สน.บางกอกน้อย และ สน.บางกอกใหญ่ ก่อนโพสต์ลงโซเชียล และแจ้งมูลนิธิกระจกเงา โดยปกติเวลาลูกจะออกไปที่ใดก็จะแจ้งคนในบ้านไว้เสมอ และแจ้งว่าจะกลับมาเวลาประมาณใด ตลอดระยะเวลาที่ลูกหาย ตนและครอบครัวออกตามหาลูกตลอดเวลา โดยหากได้รับเบาะแสว่า พบเจอบุคคลหน้าตาคล้ายลูกที่ใด ก็จะออกไปดูในทันที

น.ส.นรีรัตน ได้ขอบคุณมูนิธิกระจกเงา ที่ช่วยเหลือมาโดยตลอดระยะเวลา 5 ปีให้ได้กลับมาเจอกับลูกอีกครั้ง รวมถึงขอบคุณสื่อต่างๆ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ลูกได้หายไปคิดว่าเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เพราะไม่มีเบาะแสใดๆ ให้ได้รู้เลยว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงทำให้คิดว่าอาจจะไปอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือถูกลวงไปนอกประเทศไปแล้ว หรือถูกฆาตกรรมเพื่อขายอวัยวะไปแล้ว ไม่มีความหวังว่าจะได้เจอด้วยซ้ำ

แต่มูลนิธิกระจกเงาได้ให้ความหวังกับเราเสมอมาว่า ยังมีความหวังที่จะเจอน้องและไม่เคยทิ้งเรา ทำให้ยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอลูกอีกครั้ง เมื่อได้พบลูกก็ดีใจมาก หลังไม่ได้พบลูกมานาน 5 ปี มีความรู้สึกปลื้มปีติยินดี จนหาคำมาบรรยายไม่ได้ ขอบคุณทุกๆ หน่วยงานที่ได้ช่วยติดตามหาลูกชายมาโดยตลอด อยากให้แม่ทุกคนมีความหวังเหมือนเราว่าสักวันจะได้พบเจอลูก ยังมีโอกาสที่ทุกคนจะได้เจอลูกอีกครั้ง และอยากฝากว่าหากเกิดกรณีขึ้นแบบนี้ให้รีบแจ้งความให้เร็วที่สุด อย่ารอเวลา เพราะไม่อาจโชคดีแบบนี้เสมอไป

ด้าน นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ปลายปี 2562 น้องอัษ ได้หายออกจากบ้านไป ครอบครัวได้แจ้งความไว้ที่ สน.บางกอกน้อย และ สน.บางกอกใหญ่ ซึ่งในวันนั้นน้องอัษติดเกม ได้ออกไปเล่นเกมที่ร้านแล้วไม่กลับบ้าน มีการลงพื้นที่ตามหาในลักษณะเด็กที่อาจไปเล่นเกมตามร้านต่างๆ

และได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ กก.ดส. ลงพื้นที่ไปตามหายังร้านเกมในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และวัดที่คาดว่าเด็กจะไปขออาหาร ขอเงินที่จะนำไปเล่นเกม และติดตามหาตามบ้านเพื่อน แต่ก็ไม่พบเบาะแส จากนั้นสื่อมวลชนก็ได้ช่วยประกาศตามหาจนมีคนแจ้งเบาะแสของน้องอัษว่าพบเห็นแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงประสานเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบ ก็ได้ไปเจอเด็กแต่เป็นคนละคนกันซึ่งมีลักษณะใกล้เคียง

นายเอกลักษณ์ กล่าวอีกว่า ต่อมาปี 2564 เริ่มทำภาพจำลองเทียบเท่าอายุปัจจุบันของน้อง โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรเป็นผู้สเก็ตภาพให้ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาพของน้องอัษมาโดยตลอดผ่านสื่อต่างๆ ทั้ง อินเทอร์เน็ต ตู้บุญเติม ผลิตภัณฑ์ซองขนม ฯลฯ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาหลังจากการหายตัวไปนาน 5 ปี และไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใดๆ จึงตัดสินใจพาแม่ไปตรวจสารพันธุกรรมที่นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ

ซึ่งได้ประเมินว่ากรณีที่มีเหตุร้ายถึงแก่ชีวิตเด็กอาจมีข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของนิติเวชตำรวจ หลังไปเก็บสารพันธุกรรมได้มีสื่อมวลชนมาร่วมนำเสนอข่าว จนกระทั่งมีเบาะแสสำคัญแจ้งเข้ามา และข้อมูลสำคัญซึ่งพบว่าอาจอยู่ในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ จึงประสานไปยัง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เพื่อพูดคุยรายละเอียดในเคสนี้ และได้รายละเอียดด้านการสืบสวนจึงประสานมายัง กก.ดส. เพื่อลงพื้นที่ติดตามจนพบว่า น้องอัษ ทำงานอยู่ที่ฟาร์มสุนัข

นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่ของตำรวจพบว่าไม่ได้เป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว มีการจ่ายค่าตอบแทนในการทำงาน จากนั้นได้ไปพูดคุยกับเจ้าของฟาร์มและได้พบตัวน้องอัษ ซึ่งเด็กได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเร่ร่อน พยายามหางานทำ โดยได้ทำงานหลายอย่างตั้งแต่การเก็บของเก่า งานก่อสร้าง และอาจไปอยู่ในวงจรเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีได้มาทำงานที่ฟาร์มเลี้ยงสุนัข โดยปรากฏภาพคลิปวิดีโอในการสอนสุนัขวิ่งและทำตามคำสั่ง ถือเป็นทักษะที่ดีที่เด็กจะมีพัฒนาการต่อการประกอบอาชีพ

นายเอกลักษณ์ กล่าวต่ออีกว่า เบื้องต้นอยากให้เด็กได้กลับมาสู่ครอบครัวก่อน และพูดคุยกับแม่ว่าจะเรียนต่อหรือจะกลับไปทำงานวางแผนอนาคตร่วมกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นความหวังให้กับแม่เด็กหายอีกหลายรายที่ยังไม่พบตัว ปรากฏการณ์ในการพบตัวน้องอัษ ทำให้เรามั่นใจว่าเด็กๆ อีกหลายคนที่ยังตามหาอยู่มีโอกาสพบตัวในลักษณะแบบนี้ เป็นกำลังใจให้ครอบครัวของน้องอัษและพ่อแม่เด็กหายทุกราย ที่กำลังตามหาบุตรหลานอยู่ในขณะนี้

พ.ต.ต.(หญิง) ชาดา ทาง กก.ดส. ในฐานะที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีได้ทำงานร่วมกับ มูลนิธิกระจกเงามายาวนาน โดยในกรณีดังกล่าว กก.ดส.ได้รับการประสานมาจากมูลนิธิกระจกเงา และทำงานเรื่อยมา จนล่าสุดได้รับเบาะแส ว่าพบตัวน้องที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงลงพื้นที่ร่วมกับตำรวจ สภ.พยุหะคีรี และ มูลนิธิกระจกเงา และพบตัวน้องในที่สุด

พ.ต.ท.มโรตม์ เปิดเผยว่า อยากฝากไปถึงประชาชนในกรณีที่เด็กสูญหายออกไปจากการดูแล อันดับแรก ให้ผู้ปกครองไปแจ้งความที่โรงพักในพื้นที่ที่เกิดเหตุ หรือ พื้นที่ที่เด็กสูญหายไป อยากให้แจ้งความโดยเร็ว หลายคนมักเข้าใจผิดว่าต้องแจ้งความหลังจากที่สูญหายไปเป็นเวลา 24 ชั่วโมงถึงจะแจ้งความได้

แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถแจ้งความได้ทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีเด็กหายไป จะสามารถเพิ่มโอกาสในการค้นหาเด็กได้เร็วขึ้น และเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อเด็ก รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจจะได้รับนั้นยังมีความสดใหม่ พยาน หรือ หลักฐานหรือเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเด็กยังอยู่ในความทรงจำของผู้แจ้ง… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9603438