เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว รายงานว่า พบแล้ว น้องอัษ เด็กหายจากบ้านนาน 5 ปี ตั้งแต่อายุ 13 กลับคืนสู่อ้อมอกแม่อีกครั้ง

กรณี เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2562 มูลนิธิกระจกเงา ออกประกาศแจ้งว่า เด็กชายเทอญพงษ์ หรือน้องอัษ อายุ 13 ปี ได้หายออกจากบริเวณหมู่บ้านทรัพย์จรัญวิลล่า ซอยแก้วเงิน2 (จรัญสนิทวงศ์35) แขวงคลองชักพระ เขตตลิ่งชัน กทม. เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2562 คนหาย สูงประมาณ 150 ซม. น้ำหนัก 62 กก. ผิวสองสี ลักษณะผมสั้นทรงนักเรียน ผมสีดำ การแต่งกายสวมเสื้อกีฬาแขนสั้นสีดำแดง สวมกางเกงขาสั้นสีฟ้า สวมรองเท้าแตะสีดำ มีตำหนิปานดำที่ติ่งหูด้านขวา และมีติ่งเนื้อที่หูด้านซ้าย คนหายพัฒนาการทางสมองช้า

ล่าสุดที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กรุงเทพฯ วันที่ 23 มกราคม 2568 มูลนิธิกระจกเงา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี โดยพ.ต.อ.ศานติ กรเกษม ผกก.ดส. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.มโรดม์ ขวัญเมือง รองผกก.ดส. และพ.ต.ต.หญิง ชาดา เสสะเวช สว.กก.ดส. ติดตามเด็กหายได้พา น้องอัษ ที่หายออกจากบ้าน ในเขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว กลับคืนสู่ครอบครัว

น.ส.นรีรัตน อายุ 38 ปี แม่ของน้องอัษ กล่าวว่า ช่วงบ่าย ของวันที่ 16 พ.ย.62 ลูกออกไปซื้อขนม ต่อมาประมาณ 1 ชม. ลูกยังไม่กลับบ้าน จึงเริ่มออกตามหา และไปแจ้งความไว้ 2 สน. คือ สน.บางกอกน้อย และ สน.บางกอกใหญ่ และเริ่มโพสลงโซเชียล และแจ้งเพจมูลนิธิกระจกเงา

โดยปกติเวลาลูกจะออกไปที่ไหน ก็จะแจ้งคนในบ้านไว้เสมอ และแจ้งว่าจะกลับมาเวลาประมาณใด ตลอดระยะเวลาที่ลูกหาย ตัวเองและครอบครัว ออกตามหาลูกตลอดเวลา โดยหากได้รับเบาะแสว่า พบเจอบุคคลหน้าตาคล้ายลูกที่ไหน ก็จะออกไปดูในทันที

น.ส.นรีรัตน ได้ขอบคุณมูนิธิกระจกเงา ที่ช่วยเหลือมาโดยตลอดระยะเวลา 5 ปี ให้ได้เจอกับลูกอีกครั้ง และได้กลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงขอบคุณสื่อต่างๆ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ลูกหายไป คิดว่าเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เพราะไม่มีเบาะแสใดๆ ให้ได้รู้เลยว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ จึงทำให้คิดว่าน้องอาจจะไปอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือถูกลวงไปนอกประเทศไปแล้ว หรือถูกฆาตกรรมเพื่อขายอวัยวะไปแล้ว ไม่มีความหวังว่าจะได้เจอน้องด้วยซ้ำ แต่ทางมูลนิธิกระจกเงาได้ให้ความหวังกับเราเสมอมาว่า ยังมีความหวังที่จะเจอน้องและไม่เคยทิ้งเรา ทำให้ยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอลูกอีกครั้ง

เมื่อได้พบลูกก็ดีใจมาก หลังไม่ได้พบลูกมานาน 5 ปี มีความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี จนหาคำมาบรรยายไม่ได้ ขอบคุณทุกๆ หน่วยงานที่ได้ช่วยติดตามหาลูกชายมาโดยตลอด อยากให้แม่ทุกคนมีความหวังเหมือนเรา ว่าสักวันจะได้พบเจอลูกเหมือนกับตัวเองอีกครั้ง ยังมีโอกาสที่ทุกคนจะได้เจอลูกอีกครั้ง และอยากฝากว่า หากเกิดกรณีขึ้นแบบนี้ ให้รีบแจ้งความให้เร็วที่สุด อย่ารอเวลา เพราะอาจไม่โชคดีแบบนี้เสมอไป

นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ปลายปี 2562 น้องอัษ ได้หายออกจากบ้านไป ครอบครัวได้แจ้งความไว้ที่ สน.บางกอกน้อยและ สน.บางกอกใหญ่ ซึ่งในวันนั้นน้องอัษติดเกม ได้ออกไปเล่นเกมที่ร้านแล้วไม่กลับบ้าน มีการลงพื้นที่ตามหาในลักษณะเด็กที่อาจไปเล่นเกมตามร้านต่างๆ และได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีลงพื้นที่ไปตามหายังร้านเกมในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และวัด ที่คาดว่าเด็กจะไปขออาหาร ขอเงินที่จะนำไปเล่นเกม และติดตามหาตามบ้านเพื่อน แต่ก็ไม่พบเบาะแส

จากนั้นสื่อมวลชนก็ได้ช่วยประกาศตามหา จนมีคนแจ้งเบาะแสของน้องอัษ ว่าพบเห็นแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงประสานเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบ ก็ได้ไปเจอเด็กแต่เป็นคนละคนกัน ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียง นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า ต่อมาปี 2564 เริ่มมีการทำภาพจำลองเทียบเท่าอายุปัจจุบันของน้อง โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรเป็นผู้สเก็ตภาพให้ และมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาพของน้องอัษมาโดยตลอดผ่านสื่อต่างๆ ทั้ง อินเทอร์เน็ต ตู้บุญเติม ผลิตภัณฑ์ซองขนม ฯลฯ จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากการหายตัวไปนาน 5 ปี และไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใดๆ จึงตัดสินใจพาแม่ไปตรวจสารพันธุกรรมที่นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งได้มีการประเมินว่า กรณีที่มีเหตุร้ายถึงแก่ชีวิตเด็ก อาจมีข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของนิติเวชตำรวจ หลังไปเก็บสารพันธุกรรมได้มีสื่อมวลชนมาร่วมนำเสนอข่าว จนกระทั่งมีเบาะแสสำคัญแจ้งเข้ามา และข้อมูลสำคัญซึ่งพบว่าอาจอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงมีการประสานงานไปยังพล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น.) เพื่อพูดคุยรายละเอียดในเคสนี้ และได้รายละเอียดด้านการสืบสวนจึงประสานมายังกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี เพื่อลงพื้นที่ติดตามจนพบว่าน้องอัษได้ทำงานอยู่ที่ฟาร์มสุนัข

นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของตำรวจพบว่า ไม่ได้เป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว มีการจ่ายค่าตอบแทนในการทำงาน จากนั้นได้มีการลงไปพูดคุยกับเจ้าของฟาร์ม และได้พบตัวน้องอัษ ซึ่งเด็กได้ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเร่ร่อน พยายามหางานทำ โดยได้ทำงานหลายอย่าง ตั้งแต่การเก็บของเก่า งานก่อสร้าง และอาจไปอยู่ในวงจรเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ จนกระทั้งเมื่อ 2 ปี ได้มาทำงานที่ฟาร์มเลี้ยงสุนัข โดยปรากฏภาพคลิปวิดีโอในการสอนสุนัขวิ่งและทำตามคำสั่ง ถือเป็นทักษะที่ดีที่เด็กจะมีพัฒนาการต่อการประกอบอาชีพ

นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า เบื้องต้นอยากให้เด็กได้กลับมาสู่ครอบครัวก่อน และพูดคุยกับแม่ว่าจะเรียนต่อ หรือจะกลับไปทำงาน วางแผนอนาคตร่วมกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถือเป็นโอกาสที่ดีและเป็นความหวังให้กับแม่เด็กหายอีกหลายรายที่ยังไม่พบตัว

ปรากฏการณ์ในการพบตัวน้องอัษ ทำให้เรามั่นใจว่าเด็กๆ อีกหลายคนที่ยังตามหาอยู่มีโอกาสพบตัวในลักษณะแบบนี้ เป็นกำลังใจให้ครอบครัวของน้องอัษและพ่อแม่เด็กหายทุกราย ที่กำลังตามหาบุตรหลานอยู่ในขณะนี้

พ.ต.ต.หญิง ชาดา กล่าวว่า ทาง กก.ดส. ในฐานะที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีได้ทำงานร่วมกับ มูลนิธิกระจกเงามายาวนาน โดยในกรณีดังกล่าว ทางกก.ดส.ได้รับการประสานมาจากมูลนิธิกระจกเงา และทำงานเรื่อยมา จนล่าสุดได้รับเบาะแส ว่าพบตัวน้องที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงลงพื้นที่ร่วมกับตำรววจ สภ.พยุหะคีรี และ มูลนิธิกระจกเงา และพบตัวน้องในที่สุด

พ.ต.ท.มโรตม์ เปิดเผยว่า อยากฝากไปถึงประชาชนในกรณีที่เด็กสูญหายออกไปจากการดูแล อันดับแรก ให้ผู้ปกครองไปแจ้งความที่สน.ในพื้นที่ที่เกิดเหตุ หรือ พื้นที่ที่เด็กสูญหายไป อยากให้แจ้งความโดยเร็ว หลายคนมักเข้าใจผิดว่าต้องแจ้งความหลังจากที่สูญหายไปเป็นเวลา 24 ชั่วโมงถึงจะแจ้งความได้ แต่ในความเป็น จริงแล้วสามารถแจ้งความได้ทันทีเมื่อรู้สึกว่า มีเด็กหายไป จะสามารถเพิ่มโอกาสในการค้นหา เด็กได้เร็วขึ้น และเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อเด็ก รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจจะได้รับนั้นยังมีความสดใหม่ พยาน หรือ หลักฐานหรือเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเด็กยังอยู่ในความทรงจำของผู้แจ้ง

ทีมงานมูลนิธิกระจกเงา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีฯ ได้พูดคุยกับน้องอัษถึงสาเหตุการหายออกจากบ้านและพาตัวกลับมาให้พบกับมารดาที่ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีฯ ท่ามกลางความชื่นมื่นที่น้องอัษได้กลับสู่อ้อมอกมารดาอีกครั้ง

ข้อมูลและภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว