ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนไทยประสบพบเจอทุกปี ด้วยสภาพอากาศที่แห้งในช่วงหน้าหนาว ประกอบกับมีมลพิษจากควันท่อไอเสีย ควันจากการเผาไหม้ เผาขยะ เผาป่า รวมถึงฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง ทำให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กเหล่านี้สะสมอยู่ในอากาศมากขึ้น แม้เราจะมองด้วยตาไม่เห็น แต่พิษของฝุ่นจิ๋วเหล่านี้กลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ซึ่งหน้ากากอนามัยทั่วไปไม่สามารถป้องกันอนุภาคขนาดเล็กของฝุ่น PM2.5 ได้ด้วย จึงจำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยให้ถูกต้องป้องกันได้
โทษของฝุ่น PM2.5
ฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กมาก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน (ไมโครเมตร) ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของคนเราถึง 25 เท่า ทำให้อนุภาคเหล่านี้สามารถล่องลอยอยู่ในอากาศได้นาน และเข้าสู่ขนจมูก ปอด และกระแสเลือดได้ง่าย ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ อักเสบ นำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากมาย เช่น
- มีอาการไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ
- ไอเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล
- ระคายเคืองดวงตา แสบตา ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ
- โรคหอบหืดหรือโรคภูมิแพ้กำเริบ
- ผื่น คัน ผิวหนังอักเสบ
- หายใจลำบาก
- ปอดอักเสบ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง
- โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง
- เสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ เช่น มะเร็งปอด
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะฝุ่นทำให้เลือดข้น หัวใจทำงานหนักขึ้น
- หลอดเลือดสมอง
- หากหญิงตั้งครรภ์ได้รับฝุ่น PM2.5 สะสมมาก ๆ อาจมีโอกาสคลอดก่อนกำหนด และเด็กที่เกิดอาจมีน้ำหนักตัวน้อย
ล่าสุด หมอเจด นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ได้ออกมาเผยหน้ากาก 4 แบบ ช่วยป้องกันฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
1.หน้ากาก N95 ป้องกันได้สูงสุด 97-99%
2.หน้ากาก KN95 ป้องกันได้ 94%
3.หน้ากาก FFP2 ป้องกันได้ 94%
4.หน้ากากอนามัย ป้องกันได้60% แต่ถ้ามีหน้ากากผ้าด้วยจะป้องกันได้สูงถึง80%