แทบอ้วก! อินฟลูฯ สาวเปิดไอเดีย ใช้อุจจาระมาส์กหน้า ลั่นช่วยป้องกันแก่ก่อนวัย แพทย์หวั่น คนลอกเลียนแบบ

กระแสไวรัลในโลกออนไลน์กำลังวิพากษ์วิจารณ์สนั่น หลังอินฟลูเอนเซอร์-นางแบบสาวชาวบราซิลใช้วิธีดูแลผิวที่แปลกประหลาด โดยเอาอุจจาระของตัวเองมาทำเป็นมาส์กหน้า

เดโบราห์ เปโซโตวัย 31 ปีที่มีผู้ติดตามในติ๊กต็อกถึง 2.7 ล้าน ได้แชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับวิธีการดูแลผิวที่มีกลิ่นเหม็นของเธอ โดยบอกว่า “มันเป็นสิ่งที่บ้าที่สุดที่ฉันเคยทำมาในชีวิต” ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์รายนี้เคยกลายเป็นกระแสไวรัลมาก่อนจากการทาเลือดประจำเดือนบนผิวหนังของเธอเพื่อให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม

Débora Peixoto

นางแบบสาวเผยว่าเธอตัดสินใจสวมมาส์กอุจจาระหลังจากอ่านข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่า มาส์กดังกล่าวสามารถ “ป้องกันการแก่ก่อนวัย” ได้ ตามภาพแสดงในวิดีโอเผยให้เห็น เธอกำลังเปิดภาชนะใส่อุจจาระของเธอและทาให้ทั่วใบหน้าเหมือนกับกำลังทามาส์กโคลน

จากนั้น เธอก็บีบจมูกของเธอด้วยไม้หนีบผ้าเพื่อ “ป้องกันกลิ่นเหม็น” และทิ้งคราบอุจจาระไว้เป็นเวลาหลายนาทีก่อนจะล้างออก ในตอนท้ายของวิดีโอ เธออวดใบหน้าอันเปล่งประกายของเธอให้กล้องดู พร้อมกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “มันได้ผลสำหรับฉัน และผิวของฉันก็ไม่ลอกอีกเลย!”

งานนี้ นางแบบชาวบราซิลโดนแพทย์วิจารณ์อย่างหนักและรีบออกมาโจมตีเทคนิคการดูแลผิด ๆ ว่าอาจเกิดปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าประโยชน์ที่อ้างว่าช่วยดูแลผิว ซึ่งดร. โซฟี โมเมน แพทย์ผิวหนังที่ปรึกษาจากคลินิกคาโดแกนในลอนดอนกล่าว “เทรนด์นี้เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่แปลกประหลาดที่สุดที่ฉันเคยเจอมา การใช้อุจจาระเป็นมาส์กหน้าไม่มีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ต่อผิวหนังเลย”

Débora Peixoto

เธอเสริมว่า ส่วนประกอบของอุจจาระอาจทำให้ผู้ใช้งานมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย, ไวรัส, อาหารเป็นพิษ รวมถึงอาจเกิดอาการแดงและไม่สบายตัว ส่วนศัลยแพทย์ ตุงค์ ติริยากิเตือนว่า “อุจจาระมีแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิตมากมาย รวมถึง E. coli, Salmonella และเฮลมินธ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและโรคร้ายแรงได้”

“การเอาอุจจาระมาทาหน้าอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านบาดแผลเล็ก ๆ รอยถลอก หรือเยื่อเมือก ทำให้เกิดการติดเชื้อผิวหนังอย่างรุนแรงหรือเจ็บป่วยทั่วร่างกาย” นายแพทย์คนดังกล่าวเสริม และแนะนำให้คนทั่วไปอย่าลอกเลียนแบบและใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยแทน

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตคอมเมนต์กันสนั่นและเป็นห่วงวิจารณญาณในการใช้สื่อออนไลน์ของคนทั่วไปอีกด้วย “ผู้คนใช้อินเทอร์เน็ตกันมากเกินไป เรื่องนี้น่าเป็นห่วง” นักวิจารณ์คนหนึ่งแสดงความเสียใจ