ข่าวด่วน

Home ข่าวด่วน Page 3
Featured posts

สามีสงสัยเมียที่เป็นอัยการ เข้าห้องน้ำนานผิดสังเกต ได้ยินแต่เสียงกึกกัก ตัดสินใจใช้กุญแจไขเข้าไปดู เข่าทรุดทันที

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 พ.ต.ท.สมชาย สว. (สอบสวน) สภ.เมืองชัยภูมิ ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลชัยภูมิเกิดเหตุมีคนไข้ผูกคอฆ่าตัวตายที่บ้านพักในหมู่บ้านอโนทัย ถนนศูนย์ราชการสาย1 ชุมชนสนามบิน ในเขตเทศบาล ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ และได้มาเสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉินไอซียู โรงพยาบาลชัยภูมิ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ นำกำลังตำรวจรุดไปชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลฯพบร่างนางสาววงเพชรศ์ น้อยคุณ อายุ 55 ปี อัยการจังหวัดฝ่ายคุ้มครองสิทธิ์ฯ สำนักงานอัยการจังหวัดชัยภูมิ นอนเสียชีวิตอยู่บนเปลคนไข้ ในสภาพสวมเสื้อแขนสั้นสีฟ้า กางเกงสีนำตาล ตรวจสอบพบที่บริเวณลำคอมีรอยเขียวซ้ำ นอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลชัยภูมิ สอบถามญาติให้การว่านางสาววงเพชรศ์ น้อยคุณ อายุ 55 ปี อัยการจังวัดฝ่ายคุ้มครองสิทธิ์ฯ ได้ใช้สายไฟฟ้าผูกคอตัวเองกับช่องระบายอากาศในห้องน้ำ ภายในบ้านพัก ในหมู่บ้านอโนทัย ดังกล่าว หลังจากนั้นพ.ต.ท.สมชาย รัตนวิชัย สว. (สอบสวน) สภ.เมืองชัยภูมิได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดชัยภูมิ รุดเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุเพร้อมกับพ.ต.อ.ประสิทธิ์ เปรมกมล ผกก.สภ.เมืองชัยภูมิ ที่หมู่บ้านอโนทัย ถนนศูนย์ราชการสาย1 เลขที่265/41 ชุมชนสนามบิน ในเขตเทศบาล ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

พบนายฉัตรชัย หนองยี่สุน อายุ 53 ปี สามีผู้เสียชีวิต ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่หน้าบ้านพักดังกล่าว จากการสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงเช้าเวลา 07.00 น.ขณะที่นางสาววงเพชรศ์ น้อยคุณ ภรรยาเข้าไปอาบน้ำจะแต่งตัวเพื่อเดินทางไปทำงานที่สำนักงานอัยกสารจังหวัดชัยภูมิ สามีเห็นเข้าห้องน้ำนานผิดปกติ จึงเดินเข้าไปเคาะประตูเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงเอะใจได้พยามพังประตูแต่ประตูถูกล๊อกจากภายใน จึงได้วิ่งไปเรียกเจ้าหน้าที่โครงการให้นำกุญแจสำรองมาช่วยเปิดห้องน้ำ ออกดูถึงกับผงะเมื่อพบว่าภรรยา ได้ใช้สายไฟฟ้าสีขาวผูกคอตายติดอยู่กับลูกกรงเหล็กช่องระบายอากาศ ในห้องน้ำ หายใจรวยริน จึงได้แก้สายไฟฟ้าออกแล้วนำร่างขึ้นรถเก๋งรีบขับนำร่างไปส่งโรงพยาบาลชัยภูมิ หลังแพทย์ได้ให้การช่วยเหลือปั๊มหัวใจอยู่นาน นางสาววงเพชรศ์ ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ นายฉัตรชัย สามีจึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้รุดมาสอบสวนดังกล่าว

จากการสอบถามเบื้องต้นนางสาววงเพชรศ์ เป็นคนทำงานดีตำรวจหลายนายยังออกปากชมว่าเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีให้คำแนะนำในคดีต่างๆอย่างดีมาโดยตลอด แต่เมื่อทำงานมาใกล้เกษียณอายุราชการเหลืออีก 5 ปี แต่ชีวิตราชการยังถูกปรับย้ายไปมาหลายพื้นที่ก็ยังไม่ดีขึ้นและก็ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัยการจังหวัดเลย จนจะใกล้เกษียณแล้ว ต่อมานางสาววงเพชรศ์ ได้มีอาการเครียดและซึ่มเศร้า จนเพื่อนร่วมงานต่างทราบดี ต่อมาผู้ใหญ่ได้ปรับย้ายให้นางสาววงเพชรศ์ มาเป็นอัยการประจำฝ่ายคุ้มครองสิทธิ์ฯอีก จึงอาจเป็นสาเหตุให้นางสาววงเพชรศ์ เกิดอาการเครียดและป่วยซึมเศร้า จนคิดสั้นฆ่าตัวตายดังกล่าว หลังสอบสวนได้มอบร่างให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลที่ อำเภอแวงน้อย จ.ขอนแก่น ต่อไป

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.ชัยภูมิ รายงาน

2

เริ่มแผน ใช้ทุ่งบางระกำ เป็นที่รองรับมวลน้ำเหนือ ให้ชาวบ้านในพื้นที่เก็บของขึ้นที่สูง

วันที่ 27 สิงหาคม 2567 จากสถานการณ์น้ำยมหลากในเขตภาคเหนือตอนล่าง ที่สุโขทัย น้ำไหลสูงสุดผ่าน อ.ศรีสัชนาลัย ในวันนี้ และน้ำส่วนหนึ่งกำลังไหลเข้ามาในเขตแม่น้ำยมสายเก่าของ จ.พิษณุโลก ที่บ้านวังขี้เหล็กหมู่ 10 ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม ทางชลประทานได้เปิดการระบายน้ำผ่านท่อระบายน้ำคลองแยงมุม เข้าทุ่งบางระกำโมเดล ซึ่งเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว โดยน้ำที่ทำการระบายเป็นน้ำจากคลองเมม หรือแม่น้ำยมสายเก่า และนับจากนี้ไปอีก 1 เดือนพื้นที่บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยพื้นน้ำ ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมคลองเมมที่เป็นที่ต่ำได้เริ่มทยอยเก็บสิ่งของขึ้นมาไว้ริมถนนระหว่างหมู่บ้านกันแล้ว

ชาวบ้านวังขี้เหล็ก ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม กล่าวว่า น้ำจากสุโขทัย เริ่มเข้ามาในพื้นที่ อ.พรหมพิราม ประมาณ 2 วันแล้ว ทางชลประทานจึงเริ่มปล่อยน้ำเข้าทุ่งบางระกำโมเดล ตั้งแต่ช่วงเย็นวานที่ผ่านมา ซึ่งชาวบ้านที่พักอาศัยริมถนนฝั่งของคลองเมมหลายหลังคาเรือน ต้องขนของมาอาศัยอยู่ที่สูงชั่วคราว

นายชำนาญ ชูเที่ยง ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิษณุโลก เปิดเผยว่า สถานการณ์แม่น้ำยม วันที่ 27 ส.ค. 67 เวลา 07.00 น. ที่สถานีวัดน้ำ Y.14 A อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,701 ลบ.ม./วินาที (เข้าสู่สถานการณ์แนวโน้มอุทกภัยในระดับวิกฤติ คือมากกว่า 1,200 ลบ.ม./วินาที ขึ้นไป) ปริมาณน้ำยังไม่ไหลผ่านสูงสุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีการระบายน้ำเข้าสู่คลองหกบาท (คลองแม่น้ำยมฝั่งขวา) ในปริมาณ 480 ลบ.ม./วินาที แบ่งการระบายน้ำไปทางคลองผันน้ำแม่น้ำยม-แม่น้ำน่าน ปริมาณ 220 ลบ.ม./วินาที และระบายลงสู่แม่น้ำยมสายเก่า มาทาง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ในปริมาณ 260 ลบ.ม./วินาที

ซึ่งภาพรวมแล้ว มีน้ำจากจังหวัดสุโขทัย เข้ามาในพื้นที่ จ.พิษณุโลก แล้ว กว่า 150-200 ล้าน ลบ.ม. ทางชลประทานได้เร่งผันน้ำไปทางคลอง DR2.8 ไปลงสู่แม่น้ำน่าน และมีการระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่ทุ่งบางระกำโมเดลแล้วเกือบ 50 ล้าน ลบ.ม. หรือ ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ โดยที่บริเวณทุ่งหนองมน ต.พรหมพิราม อ.พรหมพิราม ยังมีน้ำเอ่อล้นจากแม่น้ำยมสายเก่าเข้าพื้นที่ของโครงการบางระกำโมเดลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นบริเวณกว้าง และมีน้ำเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนที่หมู่ 9 ต.หนองแขม อ.พรหมพิราม บางส่วน ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก ต้องส่งรถสุขาไปให้ประชาชนได้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว

2

รถสองแถวหลุดโค้ง พุ่งชนท้ายรถบรรทุก เสียชีวิต4ศพ บาดเจ็บ5

วันที่ 18 ส.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดอุบัตเหตุรถชนกัน บริเวณถนนบายพาส สี่แยกทางเข้าวัดพระพุทธฉาย ต.หนองปลาไหล อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย

ที่เกิดเหตุบนถนนบายพาสพระพุทธฉาย ต.หนองปลาไหล อ.เมือง จ.สระบุรี คาบเกี่ยว เขต ต.หนองนาก อ.หนองแค จ.สระบุรี พบศพผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งให้การช่วยเหลือ ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล และนำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตรเพื่อหาสาเหตุ ก่อนประสานญาติให้นำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า รถสองแถวโดยสาร สระบุรี-วิหารแดง ทะเบียน 10-1767 สระบุรี กำลังขับมุ่งหน้าไปทาง อ.วิหารแดง สระบุรี

เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุใกล้สี่แยกไฟแดงพระพุทธฉายใต้ทางต่างระดับเป็นช่วงโค้ง คาดว่ารถสองแถวจะหลุดโค้ง และไปชนท้ายรถบรรทุกหกล้อ ทะเบียน 85-0310 นครราชสีมา ที่จอดอยู่ข้างทาง จนรถเสียหลักและโครงหลังคารถพังเสียหาย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว

2

แม่น้ำสายล้นตลิ่งท่วมกลางดึก ชาวบ้าน-แม่ค้า ขนของหนีวุ่น

เมื่อกลางดึกวันที่ 17 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา สถานการณ์น้ำในแม่น้ำสาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ระดับน้ำที่บริเวณหัวฝายเอ่อขึ้นท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สายเป็นวงกว้าง ตั้งแต่ชุมชนหัวฝาย ชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย-เกาะสวรรค์ ชุมชนไม้ลุงขน และชุมชนเหมืองแดง

โดยระดับน้ำที่บริเวณสะพานพรมแดนแม่สาย – ท่าขี้เหล็ก แห่งที่ 1 ระดับน้ำสูงกว่า 6 เมตร จนพ้นขอบพื้นสะพาน ทำให้ตลาดสายลมจอยมีปริมาณน้ำท่วมสูงถึงระดับเอว พ่อค้าแม่ค้าต้องรีบขนย้ายสิ่งของออกจากร้านกลางดึก

ขณะที่ชาวบ้านชุมชนเกาะทราย-เกาะสวรรค์ ชุมชนไม้ลุงขน และชุมชนเหมืองแดง ต่างเร่งขนย้ายสิ่งของขึ้นไปไว้บนที่สูง เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำท่วม โดยเทศบาลตำบลแม่สายได้เร่งเสริมกระสอบทราย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับพนังกั้นน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าท่วม

โดยระดับน้ำมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีรายงานว่าในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสาย ซึ่งอยู่ในฝั่งเมียนมานั้นยังเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง

2

รอฟังข่าวใหญ่! ปลดยับแรงงาน สัญญาจ้างยกโรง พนักงานใหม่-เก่า ไม่แคร์ ปลดหมดไม่สน เตรียมย้ายฐานไปเวียดนาม

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.67 เพจ นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์ ได้เผยข้อความว่า รอฟังข่าวใหญ่เกี่ยวกับแรงงาน ปลดยับแรงงานสัญญาจ้างยกโรง พนักงานใหม่เก่าไม่แคร์ปลดหมดไม่สน เตรียมย้ายฐานไปเวียดนาม หากกิจการที่ไทย ถึงทางตัน

อย่างไรก็ตามหากมีข้อมูลเพิ่มเติม ทีมงานจะรีบนำมาอัพเดททันที

2

กรุงเทพฯ จะเกิดวิกฤติ ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 54 หรือไม่?!

จากสถานการณ์อุกภัย น้ำเพิ่มระดับท่วมสูง ในพื้นที่ตอนเหนือ สร้างความเสียหาย รวมถึงผลกระทบการใช้ชีวิตของประชาชน ทำให้หลายคนเริ่มกังวลว่า น้ำท่วมในปีนี้ จะซ้ำรอยน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ทะลักเข้ามาถึงกรุงเทพฯ หรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุดด้าน “รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ไขข้อสงสัยไว้ว่า

“น้ำท่วมหนักในภาคเหนือ แล้วปีนี้ กรุงเทพฯ จะน้ำท่วมหนักด้วยมั้ย ?
ได้รับคำถามนี้มาเยอะเลย ด้วยหลายท่านกังวลกันว่า น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑลครั้งใหญ่อีก เหมือนสมัยปี พ.ศ. 2554 หรือเปล่า ? หลังจากเห็นข่าวอุทกภัยน้ำท่วมรุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

ผมประเมินคร่าว ๆ จากเว็บไซต์บริหารจัดการน้ำ อย่างคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ และศูนย์บริหารจัดการน้ำ กฟผ. ก็พบว่าทั้งตามเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ยังมีปริมาณรองรับน้ำได้อีกมากนะครับ

ส่วนใหญ่จะเห็นว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ ในเกณฑ์ปานกลาง… ยังไม่น่าจะมีปัญหาวิกฤตเหมือนในสมัยก่อน

ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในบางภูมิภาคนั้น ยังเป็นแค่พายุฝนที่เกิดขึ้นในฤดูมรสุม ในแต่ละปีเท่านั้นเอง ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ลานีญา (ซึ่งทำนายกันว่าจะเกิดในปีนี้ แต่ก็เลื่อนมาหลายเดือนแล้ว)

เลยไปลองหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ และก็เอาบทสัมภาษณ์ของ ผศ.ดร.ภาณุ ตรัยเวช อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา มาสรุปให้อ่านกันครับ

โดยสรุป อาจารย์ให้ความเห็นว่า “ปัญหาน้ำท่วมในปีนี้ อาจไม่หนักเท่าปี 2554” น่าจะทำให้ทุกท่านกังวลน้อยลงบ้างนะครับ

‘ไขข้อข้องใจ ทำไมน้ำท่วม 67 จะไม่หนักเท่าปี 54 กับภาณุ ตรัยเวช’

น้ำท่วมภาคเหนือจะทำให้ไทยเจอวิกฤตอุทกภัยแบบปี 2554 หรือไม่ ? คำตอบคือ “ไม่” เพราะจริง ๆ ปีนี้เป็นปีแล้ง เป็นปี ‘เอลนีโญ’ ต้นปีจะเต็มไปด้วยข่าวความแห้งแล้ง ฉะนั้น สถานการณ์ปีนี้ไม่เหมือนกับปี 2554

ในปี 2554 ฝนตกก่อนฤดู เป็นปี ‘ลานีญา’ ที่ปริมาณฝนเยอะ ฝนมาเร็ว และฝนหยุดตกช้า

ปกติภาคเหนือ จังหวัดส่วนใหญ่จะระบายน้ำลงในแม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แต่จังหวัดเชียงราย การระบายน้ำลงแม่น้ำโขงเป็นหลัก

ต้องดูว่าพื้นที่ประสบอุทกภัย การระบายน้ำเป็นอย่างไร ระบายน้ำไม่ทัน น้ำจึงท่วม แม่น้ำโขงเต็มหรือไม่ และเป็นช่วงที่เขื่อน (ที่กั้นแม่น้ำโขง) ปล่อยน้ำมาพอดีหรือไม่ จนไม่ทำให้น้ำระบายได้

แม่น้ำปิง เขื่อนภูมิพล ดูตัวเลขล่าสุด ปริมาณน้ำ 40% เท่านั้นเอง ฉะนั้น ถ้าฝนตกลงมา แม่น้ำปิงก็ยังไม่น่าเป็นห่วง

แม่น้ำน่าน เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำอยู่ที่ประมาณ 70-80% คือใกล้เต็มแล้ว (แต่ที่ผมเช็กตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60-70%)

ต้องดูว่า ถ้าฝนตกลงมาอีกในภาคเหนือ จะตกลุ่มน้ำไหน ถ้าตกลุ่มน้ำปิง ก็ไม่เป็นไร เพราะแม่น้ำปิงยังรับน้ำได้อีกเยอะ แต่ถ้าตกในลุ่มแม่น้ำน่าน ก็มีความเสี่ยง
แต่ถ้าเทียบกับปี 2554 เขื่อนสิริกิติ์น้ำเต็มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จึงไม่แปลกที่จะประสบอุทกภัยรุนแรง… ซึ่งต่างจากตอนนี้ ที่ปลายเดือนสิงหาคมแล้ว น้ำในเขื่อนสิริกิติ์ก็ยังไม่เต็มแบบปี 2554 เลย
ความหนักของฝนในช่วงนี้ คือปลายฤดูฝน ช่วง 3 เดือนสุดท้าย (สิงหาคม-ตุลาคม) เป็นช่วงที่ฝนตกหนักอยู่แล้ว ยังเป็นไปตามธรรมชาติ

จังหวัดเชียงรายที่ประสบปัญหาอุทกภัยตอนนี้ ก็ไม่ได้ท่วมทั้งจังหวัด แต่ท่วมบางอำเภอ
ฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่กำลังพูดถึงคือปัญหาท้องถิ่น ซึ่งขึ้นอยู่ในแต่ละพื้นที่จัดการ
ปัญหาภาวะโลกร้อน เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมค่อนข้างมาก อย่างในปีนี้ จริง ๆ แล้วเป็นปีแล้ง แต่ยังเกิดน้ำท่วมได้
ปัญหาน้ำท่วม ไม่อยากมองภาพแค่กรุงเทพฯ หรือแยกเป็นพื้นที่ เพราะมันเกิดได้ทุกที่ และเวลาเกิดขึ้นมา ไม่ว่าเกิดรุนแรงหรือไม่รุนแรง ก็สร้างความสูญเสียขึ้นได้…”

2

กรมทางหลวง อัปเดต 16 เส้นทาง น้ำท่วม-ดินสไลด์ การจราจรผ่านไม่ได้

วันที่ 27 ส.ค.2567 กรมทางหลวง แจ้งว่า ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 4 ในช่วงวันที่ 27- 28 ส.ค. 2567 ประเทศไทยจะมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

กรมทางหลวงจึงได้เตรียมพร้อมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบภัย จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย สำหรับสถานการณ์อุทกภัยและดินสไลด์บนทางหลวง ประจำวันที่ 27 สิงหาคม 2567 พบว่าทางหลวงถูกน้ำท่วมจำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดแพร่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดสุโขทัย (7 สายทาง จำนวน 18 แห่ง) การจราจรผ่านไม่ได้ 16 แห่ง ดังนี้
จังหวัดเชียงราย 7 แห่ง

1. ทางหลวงหมายเลข 1093 ขุนห้วยไคร้ – ผาตั้ง ช่วง กม.ที่ 46+430 – 46+460 ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุดินสไลด์ทำให้ผิวทางทรุดตัว ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน
2. ทางหลวงหมายเลข 1093 ขุนห้วยไคร้ – ผาตั้ง ช่วง กม.ที่ 49+100 – 49+150 ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุดินสไลด์ทำให้ผิวทางทรุดตัว ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน

3. ทางหลวงหมายเลข 1093 ขุนห้วยไคร้ – ผาตั้ง ช่วง กม.ที่ 56+040 – 56+230 ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุดินสไลด์ทำให้คันทางทรุดตัว ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน
4. ทางหลวงหมายเลข 1093 ขุนห้วยไคร้ – ผาตั้ง ช่วง กม.ที่ 80+265 – 80+400 ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุดินสไลด์ทำให้คันทางทรุดตัว ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน

5. ทางหลวงหมายเลข 1093 ขุนห้วยไคร้ – ผาตั้ง ช่วง กม.ที่ 80+185 ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุสะพานขาด ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน
6. ทางหลวงหมายเลข 1155 ทรายกาด – บ้านลุง ช่วง กม.ที่ 27+400 – 27+500 ในพื้นที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุดินสไลด์ทำให้คันทางทรุดตัว ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน

7. ทางหลวงหมายเลข 1155 ทรายกาด – บ้านลุง ช่วง กม.ที่ 37+350 – 37+650 ในพื้นที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เกิดเหตุดินสไลด์ทำให้คันทางทรุดตัว ไม่มีเส้นทางเลี่ยงทดแทน

จังหวัดแพร่ 1 แห่ง
1. ทางหลวงหมายเลข 1125 นาปลากั้ง – วังชิ้น ช่วง กม.ที่ 11+650 – 13+400 ในพื้นที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ระดับน้ำสูง 90 ซม. ไม่มีเส้นเลี่ยงทางทดแทน

จังหวัดสุโขทัย 8 แห่ง
1. ทางหลวงหมายเลข 1177 ดอนระเบียง – ป่าไร่หลวง ช่วง กม.ที่ 5+454 – 5+630 ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 50 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยง ทล.101 ศรีสัชนาลัย – แม่สิน
2. ทางหลวงหมายเลข 1177 ดอนระเบียง – ป่าไร่หลวง ช่วง กม.ที่ 10+170 – 10+350 ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 80 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยง ทล.101 ศรีสัชนาลัย – แม่สิน
3. ทางหลวงหมายเลข 1177 ดอนระเบียง – ป่าไร่หลวง ช่วง กม.ที่ 11+411 – 11+580 ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 60 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยง ทล.101 ศรีสัชนาลัย – แม่สิน
4. ทางหลวงหมายเลข 1177 ดอนระเบียง – ป่าไร่หลวง ช่วง กม.ที่ 12+300 – 12+450 ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 55 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยง ทล.101 ศรีสัชนาลัย – แม่สิน
5. ทางหลวงหมายเลข 1177 ดอนระเบียง – ป่าไร่หลวง ช่วง กม.ที่ 12+790 – 13+175 ในพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 45 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยง ทล.101 ศรีสัชนาลัย – แม่สิน
6. ทางหลวงหมายเลข 1195 เตว็ดใน – วังไม้ขอน ช่วง กม.ที่ 12+725 – 13+550 ในพื้นที่อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 45 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยงแยกเกาะวงษ์เกียรติ์ และทางเลี่ยงแยก อบต.วังทอง
7. ทางหลวงหมายเลข 1195 เตว็ดใน – วังไม้ขอน ช่วง กม.ที่ 23+400 – 24+100 ในพื้นที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 100 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยงสี่แยกท่าทองและสามแยกวังไม้ขอน เข้า ทล.101
8. ทางหลวงหมายเลข 1195 เตว็ดใน – วังไม้ขอน ช่วง กม.ที่ 25+800 – 27+700 ในพื้นที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 100 ซม. แนะนำใช้ทางเลี่ยงสี่แยกท่าทองและสามแยกวังไม้ขอน เข้า ทล.101ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนเดินทางด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายเตือนน้ำท่วม ป้ายแนะนำ และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง พร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอดเวลา หากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)

2

อายุครบ 55 ปี รับเงินรายเดือนตลอดชีวิต

สำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า มนุษย์เงินเดือนที่เป็นผู้ประกันตนในกองทุนประสังคม เมื่อถึงยามเกษียณก็จะได้รับ เงินชราภาพ ซึ่งก็คือเงินที่สะสมจากการทำงาน หรือเงินที่ถูกหักสะสมค่าประกันสังคมในทุกๆ เดือน จำนวน 5% ของเงินเดือน (สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) ตั้งแต่ 250-750 บาท

โดยมีเงื่อนไขการเกิดสิทธิ เมื่อผู้ประกันตนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และได้ลาออกจากงาน สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนหรือเสียชีวิต ส่วนจะได้รับเงินบำเหน็จหรือบำนาญกรณีชราภาพนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตน

โดยในส่วนของ “เงินบำเหน็จชราภาพ” คือ เงินที่ผู้ประกันตนจะได้รับเป็นเงินก้อน ส่วน “เงินบำนาญชราภาพ” คือ เงินที่ผู้ประกันตนจะได้รับรายเดือนไปตลอดชีวิต

กรณีเงินบำนาญชราภาพ

ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน และมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบำนาญชราภาพในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินบำนาญชราภาพขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบทุก 12 เดือน

ผู้ประกันตนที่รับบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับจากเดือนที่มีสิทธิได้รับบำนาญให้จ่ายบำเหน็จแก่ทายาท เป็นจำนวนเท่ากับเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตายคูณด้วยจำนวนเดือนที่เหลือหลังจากผู้รับบำนาญถึงแก่ความตายจนครบ 60 เดือน

ตัวอย่างการคำนวณ หากผู้ประกันตนทำงานได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท มาตลอด และส่งเงินสมทบมาแล้ว 20 ปี เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ สามารถขอรับเงินบำนาญชราภาพได้ โดยมีวิธีคำนวณเงินบำนาญชราภาพ เป็น 2 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่ 1 ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) จะได้อัตราเงินบำนาญ 20%

ส่วนที่ 2 และในปีที่ 16 – ปีที่ 20 (5 ปี) จะได้รับอัตราเงินบำนาญ เพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อปี

รวมอัตราเงินบำนาญ 20 ปี จะได้ 20% + 7.5% = 27.5%

ดังนั้น ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญรายเดือน = 27.5% ของ 15,000 บาท คือ 4,125 บาทต่อเดือนตลอดชีวิต

กรณีบำเหน็จชราภาพ (จ่ายเป็นเงินก้อนครั้งเดียว)

ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ได้รับเงินเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่จ่ายในกรณีชราภาพ เฉพาะส่วนของผู้ประกันตนเพียงฝ่ายเดียว

ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 180 เดือน จะได้รับเงินเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทนตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหน

นอกจากนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 ที่มีบุตรยังมีสิทธิได้รับ “เงินสงเคราะห์บุตร” ช่วยเหลือค่าครองชีพโดยจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรจำนวน 800 บาทต่อเดือน ซึ่งจะโอนเงินเข้าบัญชี ผ่านระบบพร้อมเพย์ทุกๆ สิ้นเดือน แต่หากตรงกับวันหยุด หรือ วันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะทำการโอนให้ล่วงหน้าก่อนไม่เกินเที่ยงคืน

สำหรับรายละเอียดของการรับเงินสงเคราะห์บุตรมีดังนี้

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิ

ต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39

จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน สิทธิที่ท่านจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาทต่อบุตรหนึ่งคน

ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น

อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

2

อ่วมหนัก! น้ำทะลักท่วมแล้ว 6 ตำบล บ้านเรือนเสียหาย

วันที่ 27 ส.ค. 67 ที่ สถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดแพร่ หลังปริมาณน้ำได้ไหลทะลักจากตัวเมืองเข้าสู่ อ.ลอง อ.วังชิ้น จนถึงขณะนี้ปริมาณน้ำก็ยังไม่ลดลง บางแห่งน้ำท่วมขังสูงกว่า 1 เมตร อำเภอวังชิ้น ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล บ้านเรือนเสียหายบางแห่งก็ยังมีเจ้าหน้าที่ไปไม่ถึง บางแห่งอยู่ป่าเขา น้ำตามลำห้วยได้ปิดทางน้ำไว้

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ เขต 3 ลงพื้นที่แจกข้าวสารอาหารแห้งทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด เพราะชาวบ้านต้องกินต้องใช้ เป็นไปด้วยความยากลำบากในการช่วยเหลือ พร้อมเผยว่าที่วังชิ้นคาดว่าอย่างน้อยอีก 3 วัน ปริมาณน้ำจะลดลง แต่ความเดือดร้อนที่ตามมาคือความเสียหายของบ้านเรือน ตอนนี้ชาวบ้านต้องการคือไม้กวาด ไม้ถูพื้น น้ำยาล้างทำความสะอาด การช่วยเหลือ ทางฝ่ายทหารจากกองพันทหารม้าที่ 12 ได้ระดมกำลังเข้ามาเพื่อช่วยชาวบ้าน

2

“อุโมงค์รถ ไฟถล่ม” ข่าวดีพบสัญญาณชีพทั้ง 3 คน ช่วยคนแรก ได้ไม่เกิน 4 โมง

ความคืบหน้าล่าสุดเหตุอุโมงค์รถไฟถล่ม วันที่ 27 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 14.00น. ทางการรถไฟฯ แจ้งว่ามีข่าวดี พบสัญญาณชีพทั้ง 3 คน คาดว่าจะช่วยคนงานคนแรกได้ภายในวันนี้ ไม่เกิน 16.00น. โดยได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการตามเอกสาร

อุโมงค์รถไฟถล่ม ข่าวดีพบสัญญาณชีพทั้ง 3 คน ช่วยคนแรกได้ไม่เกิน 4 โมง

การรถไฟฯ เผยข่าวดี อุโมงค์รถไฟถล่ม ยังตรวจพบสัญญาณชีพทั้ง 3 ราย คาดสามารถช่วยคนงานคนแรกได้ภายในวันนี้ ไม่เกิน 16.00 น. นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ภายในอุโมงค์ว่า

อุโมงค์รถไฟถล่ม ข่าวดีพบสัญญาณชีพทั้ง 3 คน ช่วยคนแรกได้ไม่เกิน 4 โมง

ล่าสุด ยังตรวจพบสัญญาณชีพของคนงานทั้ง 3 ราย ทั้งนี้ หลังจากที่ทีมกู้ภัยของการรถไฟฯ ได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนงานตลอดเวลาที่ผ่านมา ตามนโยบายของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รวมทั้ง ได้เสริมทีมกู้ภัย Hunan Sunshine จากประเทศจีน ซึ่งเป็นทีมกู้ภัยในพื้นที่ภัยพิบัติ จนทำให้ได้รับข่าวดีว่า ภายในวันนี้ ไม่เกิน 16.00 น. คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือคนงานคนแรกออกมาได้

อุโมงค์รถไฟถล่ม ข่าวดีพบสัญญาณชีพทั้ง 3 คน ช่วยคนแรกได้ไม่เกิน 4 โมง

อุโมงค์รถไฟถล่ม ข่าวดีพบสัญญาณชีพทั้ง 3 คน ช่วยคนแรกได้ไม่เกิน 4 โมง

โดยก่อนหน้านี้มีรายงานยืนยันออกมาว่า 1 รายสัญญาณชีพยังปกติดี ส่วนอีก 2 ราย สัญญาณชีพอ่อน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งมือหาทางเข้าไปช่วยเหลือให้ได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ยังได้มีการเปิดเผยรายชื่อ ผู้สูญหายทั้ง 3 คน ในเหตุการณ์ดินถล่มในอุโมงค์รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ประกอบด้วย 1. หูเสียงหมิน เพศชาย สัญชาติจีน (ผู้ควบคุมงาน) 2. ตงชิ่น หลิน เพศชาย สัญชาติจีน (ขับรถแบ๊กโฮ) 3. แรงงานชาวเมียนมา ไม่ทราบชื่อ (ผู้ขับรถบรรทุก)

2

Popular Posts

My Favorites

พ่อใจสลาย ลูกสาวหายตัวไป 3 เดือน

0
พ่อใจสลาย ลูกสาวหายตัวไป 3 เดือน คาใจแฟนทอม เชื่อตายแล้ว มาเข้าฝัน น้องสาวเผยพี่เคยไปทำงานให้ตำรวจ ไม่ยอมกลับบ้าน พฤติกรรมเปลี่ยนไป วันที่ 22 ส.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิยม พร้าวหอม ชาว อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ว่า น.ส.พรพิมล พร้าวหอม หรือโอมี่...